#มือใหม่เริ่มลงทุน

การลงทุนแบบ Thematic Investment

โดย stock2morrow
เผยแพร่:
204 views

การลงทุนจะได้รับผลตอบแทนที่ดี จะต้องประกอบไปด้วย 3 อย่าง คือ
1. หาให้เจอ
2. ซื้อให้เยอะ
3. ถือให้นาน

คำว่า "หาให้เจอ" ที่ว่าคือหาให้เจอก่อนคนอื่น เห็นก่อนคนอื่น และสิ่งที่จะขาดไม่ได้ คือ การมองว่ากลุ่มธุรกิจไหนจะเป็น MegaTrend ตัวต่อไป

 

การลงทุนโดยอาศัยการจับทิศทางกระแสหลักของโลก MegaTrend ที่กำลังเปลี่ยนไป และจะมีการวิเคราะห์ถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาว เพื่อกำหนด "ธีม" ในการลงทุน เราเรียกว่า Thematic Investment
เช่น การเปลี่ยนผ่านเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ การขยายตัวของสังคมเมือง การพัฒนาด้านสาธารณสุขและการแพทย์ หรือการเติบโตของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี และถูกนำมาพัฒนาเป็นพอร์ตโฟลิโอการลงทุน ซึ่งจะมุ่งเน้นการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงระยะยาวดังกล่าว

การลงทุนในลักษณะนี้จะมีความแตกต่างจากการลงทุนของกองทุนรวมโดยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นวัตถุประสงค์ของการลงทุน กรอบระยะเวลาในการลงทุน หลักเกณฑ์ในการคัดเลือกหลักทรัพย์ที่จะลงทุน รวมไปถึงการวัดผลการดำเนินงานของกองทุน

 

Thematic Investment จะมุ่งเน้นในการลงทุนระยะยาว ที่มุ่งหวังผลตอบแทนจากการเปลี่ยนแปลงในอนาคต และเข้าลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวอย่างมีนัยสำคัญมากกว่าที่จะมุ่งเน้นการสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดในระยะสั้น ทำให้กรอบระยะเวลาในการลงทุนแบบนี้จะยาวกว่าการลงทุนโดยทั่วไป (มากกว่า 3 – 5 ปีขึ้นไป)

นอกจากนี้การเลือกหุ้นหรือหลักทรัพย์ที่จะเข้าลงทุน ก็อาจจะกระจุกตัวอยู่เฉพาะอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่งที่ตรงกับธีมการลงทุน เช่น หุ้นในกลุ่ม Health Care ซึ่งจะแตกต่างจากกองทุนรวมตราสารทุน หรือกองทุนรวมหุ้นโดยทั่วไป ที่จะมีการกระจายหุ้นไปยังหลากหลายอุตสาหกรรม เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน
... ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าการลงทุนใน Thematic Investment จะมีความเสี่ยงในการลงทุนที่สูงกว่านั่นเอง แต่ถ้าคาดเดาได้ถูก นักลงทุนก็จะสร้างผลตอบแทนได้เหนือกว่าด้วยเเช่นกัน


ตัวอย่างธีม Thematic Investment ที่น่าสนใจ เช่น
1. ธีมการค้าออนไลน์ (E-Commerce)
เป็นธุรกิจที่เติบโตอยู่แล้ว ด้วยความสะดวกสบาย และวิกฤตโรคระบาด COVID-19 เป็นปัจจัยเร่ง ส่งผลให้การค้าขายออนไลน์เฟื่องฟูขึ้นมาก เพราะคนส่วนใหญ่ต้องอยู่บ้านและไม่สามารถเดินทางออกไปไหนได้

Infrastructure ของ E-Commerce ก็มีความพร้อมมากขึ้น จากเทคโนโลยีการสื่อสาร 4G และ 5G การมี app ที่ user friendly มากขึ้นส่งผล ให้ Eco system มีความพร้อมมากขึ้น ตั้งแต่ต้นทางการรับ order สินค้า คลังสินค้า การกระจายสินค้า จนถึงค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่า ต้นทุนที่ต่ำกว่าทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค สามารถเข้าถึงง่ายด้วยมือถือ ผู้ผลิตก็สามารถขายสินค้าได้ด้วยราคาที่ลดลง ไม่ต้องมีหน้าร้าน หรือต้นทุนการเช่าพื้นที่ สามารถนำเสนอสินค้าที่ราคาถูกลงได้ ทำให้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายพากันเข้าสู่ระบบ online มากขึ้น

การลงทุนใน E-Commerce theme ก็คือการลงทุนในหุ้นของบริษัทค้าปลีกทั่วโลกที่มีรายได้หลักมาจากการค้าขายออนไลน์ รวมไปถึงการขนส่ง และ packaging ต่างๆ ก็ได้ประโยชน์จาก E-Commerce สามารถลงทุนทางตรงในหุ้นนั้นๆ หรือลงทุนผ่านกองทุนรวมที่เป็น E-Commerce Theme ก็ได้


2. รักสุขภาพ โรงพยาบาล และธุรกิจ Healthcare
เป็นหนึ่งใน Thematic Investment ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศไทย เพราะสอดคล้องไปกับกระแสสังคมสูงวัย และคนส่วนใหญ่ที่หันมาใส่ใจในสุขภาพอย่างจริงจัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการเกิดโรคระบาด COVID-19 ที่ผ่านมา ก็ทำให้กลุ่มธุริกจ Healthcare เป็นที่นิยมอย่างสูง

เมื่อลองพิจารณากองทุนที่ลงทุนใน Healthcare ส่วนใหญ่ ก็จะลงทุนกระจายตัวในหลายๆ ธุรกิจ เช่น กลุ่มผู้ผลิตยา (Pharmaceutical), เทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology), บริการทางการแพทย์ (Service Provider), และเครื่องมือทางการแพทย์ (Medical Devices)

นอกจากนี้จากการที่วิทยาการทางการแพทย์ และเทคโนโลยีมีความก้าวหน้ามากขึ้น ทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Healthcare นั้นมีความหลากหลายมากขึ้น และเกิด Thematic Investment ที่มีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้นไปอีก เช่น Digital Health และ Biotechnology

โดย Digital Heath เป็น Theme ที่เน้นลงทุนในธุรกิจที่จะช่วยให้การบริการทางการแพทย์ หรือการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่วน Biotechnology ช่วยทำให้นวัตกรรมการพัฒนายาต่างๆ มีความก้าวหน้าและมีความจำเพาะเจาะจงมากขึ้น


3. พลังงานสะอาด Green Energy และพลังงานยั่งยืน Sustainable Energy
ธีมการลงทุนนี้มาพร้อมกับประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งหนึ่งในนโยบายเด่นที่จะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจสหรัฐฯ ระยะยาว คือ นโยบายด้านพลังงานโดยเฉพาะพลังงานสะอาด

โดยนโยบายสำคัญด้าน Green Energy ของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้แก่ การพาสหรัฐฯ กลับเข้าสู่ความตกลงปารีส (Paris Agreement) ซึ่งเป็นความตกลงว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จัดสรรงบประมาณ 4 แสนล้านดอลลาร์ในช่วง 10 ปีข้างหน้า สำหรับการลงทุนด้านพลังงานสะอาดและนวัตกรรม และล่าสุดไบเดนได้ออกมาประกาศว่า เขามีแผนที่จะดำเนินการเปลี่ยนยานพาหนะทั้งหมดของหน่วยงานรัฐบาลให้เป็น ‘รถยนต์พลังงานไฟฟ้า’ ที่ถูกผลิตและจัดประกอบโดยพลเมืองสหรัฐฯ ในสหรัฐฯ เท่านั้น ทำให้กลุ่มหุ้นที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาด พลังงานทางเลือก และบริษัทที่ให้ความสำคัญในการดูแลสิ่งแวดล้อมได้รับความสนใจขึ้นมาทันที ไม่เฉพาะแค่ในสหรัฐฯ แต่หุ้นพลังงานสะอาดทั่วโลกก็พลอยได้รับอานิสงค์ไปด้วย

อย่างไรก็ตาม ข้อควรระวังของการลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ คือ ต้องติดตามการเลือกตั้งสหรัฐฯ ในอีก 4 ปีข้างหน้าอย่างใกล้ชิด (เพื่อประกอบการตัดสินใจขาย หากได้ลงทุนในช่วงนี้ไปแล้ว) เพราะหากประธานาธิบดีเปลี่ยนคนไป นโยบายนี้ก็อาจมีการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย

 

อย่างไรก็ตาม การลงทุนแบบ Thematic Investment มีข้อดี และข้อเสีย ที่นักลงทุนต้องคำนึงถึงด้วย


ข้อดี
1. มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้เหนือกว่าตลาด จากการลงทุนไปกับ MegaTrend
2. เป็นการลงทุนระยะยาว 1-2 ปี นักลงทุนไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาบ่อยๆ
3. ซื้อกองทุนรวมที่เป็น Thematic จะมีผู้เชี่ยวชาญที่ดูแลพอร์ตการลงทนให้

 

ข้อเสีย
1. ความเสี่ยงสูง มีโอกาสที่นักลงทุนจะขาดทุน
2. เป็นการลงทุนระยะยาว ซึ่งนักลงทุนบางคนไม่สามารถที่จะถือการลงทุนยาวๆได้
3. ธีมบางอย่างนักลงทุนอาจไม่เข้าใจมากเพียงพอ

 

ดังนั้น ก่อนจะลงทุนผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจศึกษาให้ดีก่อนการตัดสินใจลงทุนทุกครั้งครับ ...


ศูนย์รวมความรู้เรื่องหุ้น ศูนย์รวมนักลงทุนรายย่อย ที่อยากรู้วิธีการลงทุนในหุ้นอย่างถูกต้องและได้กำไรอย่างยั่งยืน ติดตามเราได้ที่

www.stock2morrow.com 

FB: stock2morrow 

LINE@stock2morrow

FacebookInstagramYoutubeLine

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง