ทราบหรือไม่ครับว่ารถอิเล็กทริค Electric Vehicle (EV) นั้นถูกผลิตขึ้นมาตั้งแต่ปี 1888 โดย วิศวกรชาวเยอรมันชื่อ Andreas Flocken และ 12 ปีหลังจากนั้นก็ถึงขั้นบูมสุดขีด สามารถครองตลาดรถยนต์ในอเมริกาได้ถึง 28% EV ขึ้นไปพีคสุด 30,000 คันในปี 1912 แต่แล้วในปี 1935 ก็ถูกทำลายโดยการเกิดขึ้นของระบบ Internal Combustion Engine ของรถยนต์ที่ใช้ปิโตรเลียมเป็นหลัก บวกกับราคาน้ำมันที่ถูกมากในเวลานั้น เป็นการสิ้นสุด Wave ที่ 1 ของ EV
แต่แล้วช่วงกลางทศวรรษที่ 19 เป็นต้นไป ช่วง 1960-1980 ความสนใจเรื่อง EV กลับมาอีกครั้ง โดยเฉพาะเหตุการณ์ OPEC embargo ปี 1973 ที่ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งดิ่งจาก $3 ต่อบาร์เรลไปเป็น $12 ต่อบาร์เรล เกิด supply shock ของน้ำมันในบางประเทศ รวมถึงการเริ่มนำเรื่องของความกังวลเกี่ยวกับมลพิษทางอากาศมาพูดกัน ทำให้ผู้ผลิต EV กลับมาตีตลาดอีกครั้ง
ในปี 1997 ก็เกิด Toyota Prius ขึ้นมา และก็ขายได้มากถึง 18,000 คันในปีแรกที่ผลิต หลังจากนั้น ปี 2008 ราคาน้ำมันพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ที่ $145 ต่อบาร์เรล ทำให้เกิดความกังวลเรื่องการพึ่งพาพลังงานจากปิโตรเลียมมากขึ้นมาก เริ่มมีกระแส sustainability, climate change และ renewable energy เกิดแรงขึ้นทั่วโลก เพื่อหาทางออกเรื่องการเสถียรภาพทางพลังงาน
ในช่วงนี้จำนวน EV ทั้งหมดในโลกโตก้าวกระโดดเป็น 50,000 คันในปี 2011 และ 180,000 คันในปี 2012 น่าจะเป็นช่วง Wave ที่ 2 ของ EV
ตั้งแต่ปี 2014 เป็นต้นมา ราคาน้ำมันเริ่มกลับหัวลงมาในระดับต่ำอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเพราะเรื่องของการเมืองของกลุ่ม OPEC เอง หรือเรื่องของการเมืองระหว่างมหาอำนาจของโลกที่ใช้ราคาน้ำมันกดดันประเทศที่พึ่งพาน้ำมันในระดับสูง
กระแส EV มาแรงมากขึ้นเรื่อยๆจากผู้ผลิตรถยนต์แทบทุกระดับตั้งแต่ Toyota, Tesla ถึง Porsche ก็เข้ามาในตลาด EV ยังไม่นับรวมรถจาก tech company ชั้นนำอย่าง Google และ Apple ที่จะทำตลาดรถก้าวไปเป็น self-driving car ไปเลย
EV ที่เพิ่มขึ้นจะต้องค่อยๆเจอกับเรื่องของความต้องการไฟฟ้าเข้ามา recharge สูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับค่าไฟฟ้าและราคาเชื้อเพลิงที่ใช้ผลิตไฟฟ้าในแต่ละประเทศอีกด้วย
หลังจากนี้จะเกิดนวัตกรรมใหม่ที่จะมาทำลายความน่าสนใจของ EV ไปอีกครั้งเหมือนที่ในช่วง Wave แรกหรือไม่
กระแส climate change จะอยู่ยาวไปหรือเป็นเพียงกระแสที่เกิดขึ้นไม่กี่นานก็ค่อยๆหายไป ราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงเรื่อยๆจะทำให้การใช้ปิโตรเลียมกลับมาน่าสนใจอีกครั้งหรือไม่ หากมีนวัตกรรมเทคโนโลยีที่เพิ่ม fuel efficiency ในรถยนต์เกิดขึ้นใหม่
เวลาจะบอกว่านี่จะเป็นการเติบโต Wave ที่ 3 ของ EV หรือเป็นการดับสูญไปอีกครั้งซ้ำรอยเดิมของประวัติศาสตร์
ขอบคุณข้อมูลจาก International Energy Agency (IEA)
บทความโดย: บูม MoneyCrown / FB: MoneyCrown