#แนวคิดด้านการลงทุน

เวลาซื้อ เวลาขาย (หุ้น)

โดย stock2morrow
เผยแพร่:
201 views

"หุ้นตัวนี้ ซื้อได้หรือยัง"
"หุ้นตัวนี้ ขายเลยไหม"

... นี้น่าจะเป็น 2 คำถามที่นักลงทุนถามกันมากที่สุด คือ เวลาซื้อ และเวลาขาย หุ้น ควรเป็นจังหวะไหนที่สุด เพราะนักลงทุนให้ความสำคัญกับจังหวะเป็นอย่างมาก

จากการศึกษาพบว่า นักลงทุนจะให้ความสำคัญกับ "การซื้อ" มากกว่า "การขาย"
เพราะนักลงทุนเชื่อกันว่า ถ้าเราซื้อในจังหวะที่ดี เวลาขายจะขายตรงไหนก็ได้ ก็ได้กำไรเหมือนกันแตกต่างกันที่จะได้กำไรมากหรือกำไรน้อย ... ดังนั้น คำถามที่นักลงทุนถามมากที่สุดคือ "ซื้อได้หรือยัง" เพราะเวลาขาย มักจะตัดสินใจขายกันเองได้

นักวิชาการหลายแห่งมีความเห็นตรงกันว่า
"นักลงทุนแทบไม่ต้องสนใจเรื่องของเวลาหรือระดับดัชนีที่เหมาะสม  
เหตุผลก็เพราะเราไม่รู้ว่าดัชนีระดับไหนเหมาะสม"

ราคาหุ้นหรือดัชนีที่เห็นตลอดเวลานั้นเป็นดัชนีที่เหมาะสมอยู่แล้ว  ไม่มีคำว่าหุ้นถูกหรือแพงไม่ต้องพูดว่าดัชนีตลาดหุ้นสูงหรือต่ำเกินไป
ดังนั้น นักวิชาการจึงสรุปไว้ว่า "ในระยะยาวแล้ว ตลาดหุ้นจะให้ผลตอบแทนระยะยาวที่ 10%"

สำหรับสถิติในตลาดหุ้นไทยโดยการเก็บข้อมุลตั้งแต่ปี 2518 จนถึงปัจจุบัน ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนประมาณ 6.82% และปันผลราวๆ 3% เมื่อรวมๆกันแล้วจะอยู่ราวๆ 10% ซึ่งถือว่าเกาะอยู่กับค่าเฉลี่ยระยะยาว
... แต่สิ่งสำคัญคือ ไม่ใช่ว่าเราจะซื้อเวลาไหนก็ได้ ก็ให้ผลตอบแทนที่ 10% เหมือนๆกัน
เพราะโดยส่วนใหญ่แล้วนักลงทุนจะขาดทุนจากการลงทุนมากกว่าที่จะกำไร
โดยสาเหตุหลักมาจาก การเข้าไปซื้อในจังหวะที่คนส่วนใหญ่ซื้อด้วย และยิ่งซื้อหนักขึ้นเมื่อความมั่นใจของตลาดมากขึ้นตามไปด้วย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจุดที่มั่นใจที่สุด มักจะเป็นจุดพีค ของรอบไปแล้ว

"จังหวะ" เป็นสิ่งสำคัญ ...
ถ้าเราซื้อในจังหวะที่ถูก .. เราจะได้ผลตอบแทนระยะยาว 10% หรืออาจจะมากกว่านั้น ที่จะให้ผลตอบแทน "เป็นเท่า"
ถ้าเราซื้อในจังหวะที่ผิด ... เราอาจจะขาดทุนระยะยาว หรือที่เรียกว่า "ติดหุ้น" จนอาจจะไม่สามารถกลับมากำไรได้อีกเลย

ประเด็นคือ นักลงทุนจะมีวิธีในการ "คัดเลือก" จังหวะที่ถูก ได้หรือไม่ ?
นี้เป็นคำแนะนำ 2 ข้อ ที่เราควรไปปรับใช้กันครับ

 

1. ซื้อหุ้นที่มี Margin of Safety หรือส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย
การเลือกซื้อในจังหวะที่ถูก คือ ซื้อตอนที่หุ้นถูกๆ ในเชิงมูลค่าที่ควรจะเป็น
อย่างที่บัฟเฟตต์เคยกว่าไว้ว่าเขาพยายามหาการลงทุนในราคา 1 ดอล์ล่าร์ ด้วยเงิน 50 เซนต์  คือ ลงทุนในการลงทุนที่ "ไม่แพง"

นักลงทุนอาจจะต้องมีประสบการณ์มากพอสมควร อ่านงบการเงินเป็น ประเมินมูลค่าหุ้นได้ อ่านบทวิเคราะห์ในจุดสำคัญ ติดตามบริษัทอย่างใกล้ชิดที่ต้องใช้ความขยันอย่างมาก
... เป็นเรื่องไม่ง่าย แต่ถ้าทำได้เราจะได้ผลตอบแทนคุ้มค่าแน่นอน


2. ลงทุนแบบ  Dollar-Cost average
การ Dollar-Cost average หรือ DCA คือกลยุทธ์การลงทุนรูปแบบหนึ่ง ที่เรากำหนดการลงทุนเป็นงวด ๆ งวดละเท่า ๆ กันอาจลงทุนเป็นรายเดือน รายไตรมาส โดยไม่สนใจว่าราคาหน่วยลงทุน หรือราคาหุ้นที่เราจะซื้อตอนนั้นเป็นราคาเท่าไร จะขึ้นหรือจะลง ก็ไม่สนใจ
... แน่นอนว่าการลงทุนลักษณะนี้ เราอาจจะไม่ต้องมีความรู้เรื่องการลงทุนเข้าขั้น "กูรู" หรือเกาะติดเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด
แต่สิ่งที่เราต้องมี คือ วินัย ที่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ

ข้อดีของการทำ DCA คือ ไม่ตกรถ - ไม่ติดดอย เพราะเราจะได้ต้นทุนไม่สูงมาก และมีสินทรัพย์นั้นๆอยู่ตลอดเวลา
ข้อเสีย คือ ต้นทุนที่เราได้คือ "ค่าเฉลี่ย"
ดังนั้นนักลงทุนจะไม่ได้ผลตอบแทนในระดับ "สุดยอด" แต่เป็นผลตอบแทนแบบเฉลี่ยๆไป


เวลาซื้อ เวลาขายหุ้น จังหวะเป็นสิ่งสำคัญ
แต่คนส่วนใหญ่มักจะซื้อหรือขายผิดจังหวะ และทำให้การลงทุนนั้นขาดทุนไป
ดังนั้นถ้าเราจะหลีกเลี่ยงจังหวะที่ผิดพลาด เราสามารถทำได้ 2 วิธี คือ ซื้อหุ้นในมูลค่าที่ไม่แพง หรือไม่ก็ลงทุนแบบถัวเฉลี่ยทุกเดือน


ศูนย์รวมความรู้เรื่องหุ้น ศูนย์รวมนักลงทุนรายย่อย ที่อยากรู้วิธีการลงทุนในหุ้นอย่างถูกต้องและได้กำไรอย่างยั่งยืน ติดตามเราได้ที่

www.stock2morrow.com 

FB: stock2morrow 

LINE@stock2morrow

FacebookInstagramYoutubeLine

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง