โดยปกติช่วงโค้งสุดท้ายของทุกๆ ปี จะเป็นช่วงที่คนส่วนใหญ่จะพิจารณาเรื่องของการลงทุน ออมเงิน และการลดหย่อนภาษี ทำให้มีการซื้อกองทุน LTF RMF เข้ามา ส่งผลให้กองทุน สถาบันเข้าซื้อหุ้นเป็นปัจจัยผลักดันราคาหุ้นด้วย เกิดเป็นเหตุการณ์ Window Dressing เสมอ
... และจากสถิติก็แสดงให้เห็นว่าช่วงเดือนธันวาคมเกือบทุกปี นักลงทุนสถาบัน กองทุน จะเป็นผู้ซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทย

แต่สำหรับปีนี้ เราไม่อาจจะคาดหวังแบบนั้นได้อีกแล้ว จากเหตุผล 3 ประการ คือ

1. ขาดแรงหนุนจาก LTF
เม็ดเงินจาก LTF จะอยู่ราวๆ 1-3 หมื่นล้านบาท แต่หลังจากการยกเลิก LTF ไปในปี 2019 ทำให้เงินจำนวนนี้หายไป กลายมาเป็น SSF ที่มีระยะยาวนานถึง 10 ปี ทำให้เม็ดเงินไม่มากเหมือนในอดีตที่ผ่านมา

2. กองทุนต้องเตรียมเงินไว้ส่วนหนึ่งเพื่อให้นักลงทุนเตรียมถอนเงินจาก LTF ในปี 2559
ปัจจุบันสัดส่วนการถือเงินสดของกองทุนยังอยู่ในระดับต่ําที่ระดับ 3.2% หรือ 2.2 หมื่นล้านบาท
จึงอาจไม่ได้มีแรงหนุนมากมายดังเช่นในอดีต อีกทั้งการถือครองเม็ดเงินที่น้อย มีแนวโน้มจะขายหุ้นเพื่อถือเงินสดให้มากขึ้นอีกด้วย

โดยสาเหตุมาจากต้อง "เตรียมเงิน" ไว้สําหรับการ Redeem กองทุน LTF ปี 2559 ที่ครบกําหนดไถ่ถอนในปีหน้า ...

3. ไวรัส Omicron ดูรุนแรงขึ้น ทำสถาบัน Wait and See
จากสถาณการณ์ปัจจุบัน การระบาดของ Omicron ยังเป็นความเสี่ยงภาพของการลงทุนทั่วโลก ถึงแม้ว่าอาการจะไม่รุนแรงเท่าสายพันธุ์ Delta แต่สายพันธุ์ Omicron แพร่ระบาดได้เร็วกว่า

ในส่วนของประเทศไทย รายงานว่าไทยมีจํานวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ 2,532 ราย  
ไทยพบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ Omicron สะสมแล้ว 205 ราย
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ประเมินว่าในช่วง หลังปีใหม่ 2565 จํานวนผู้ติดเชื้อในไทยจะมีโอกาสเพิ่มขึ้น โดยคาดจํานวนผู้ติดเชื้อใหม่
อาจกลับไประดับ 1-2 หมื่นรายต่อวัน และสายพันธุ์ Omicron จะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น ประมาณ 50% ในช่วงครึ่งหลังของ ม.ค. – ก.พ. 2565 แต่เชื่อว่าจํานวนผู้ป่วยหนักจะมีเพียง 200-400 ราย ซึ่งระบบสาธารณสุขยังรองรับได้

ด้วยการแพร่ระบาดนี้เองทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงไทยอยู่ในสถานะ Wait and See
สถาบันไม่กล้าจัดเต็ม จัดหนักเพราะเกรงต้องเจอกับแรงขายถ้าการระบาดกลับมารุนแรงอีกครั้ง ...

โดยภาพรวมแล้ว หุ้นไทยปีนี้อาจไม่มี Window Dressing
หรือถ้ามีก็อาจจะน้อยมากๆจาก 3 ปัจจัยที่กล่าวมาแล้วในข้างต้นนั้นเอง ...