#ลงทุนแนวปัจจัยพื้นฐาน

หุ้นผลิด vs. หุ้นบริการ

โดย อธิป กีรติพิชญ์
เผยแพร่:
134 views

สมัยที่ผมยังเป็นเด็ก ประมาณ 40 ปีก่อน ญาติสนิทมิตรสหายของคนรุ่นพ่อท่านไหน เปิดกิจการโรงงานผลิตสินค้า ก็จะมีการไปแสดงความยินดีกัน และคนสมัยก่อนก็มักจะเรียกเจ้าของกิจการว่าเถ้าแก่ใหญ่หรือเสี่ยนำหน้าชื่อเขากันตั้งแต่วันนั้นเลย 

 

เพราะสมัยก่อนการเปิดโรงงาน ทำการผลิต ถือเป็นเรื่องยาก เพราะต้องมีสารพัดปัจจัยการผลิต ตั้งแต่ ที่ดิน อาคาร โรงงาน เครื่องจักร วัตถุดิบ และลูกจ้าง แถมไม่ได้มีเงินกู้แบงค์ดอกเบี้ยค่อนข้างต่ำอย่างทุกวันนี้ จึงมีเถ้าแก่จำนวนไม่น้อย กว่าจะเปิดโรงงานได้ก็ต้องสะสมทุนรอนจนเกือบเข้าช่วงกลางช่วงปลายชีวิตก็มี 

 

เมื่อการผลิตมีน้อย ความต้องการสินค้ามีมาก ช่วงเวลานั้น หากใครมีเงินสร้างโรงงาน โอกาสประสบความสำเร็จจะมีสูงมาก เพราะโรงงาน ใช้เครื่องจักรทุ่นแรงปั๊มสินค้าออกมาได้เรื่อยๆ ด้วยความที่ตลาดใหญ่ทั้งในประเทศและส่งออก ความต้องการสินค้าสูง ยิ่งผลิตสินค้าได้มากก็ยิ่งขายได้มาก การขยายโรงงานหรือสายการผลิต ที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 จึงตามมา ยิ่งขยาย เจ้าของกิจการก็ยิ่งรวย

 

นับเป็นช่วงเวลาที่ดีเยี่ยมของธุรกิจการผลิต ... แต่ทุกวันนี้ ภาพนี้ยังอยู่ไหม

 

วันเวลาผ่านไป เทคโนโลยีการผลิตก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วการเปิดโรงงานกลายเป็นเรื่องง่ายขึ้นมาก 

 

โรงงานยังมีให้เช่า เครื่องจักรยังมีให้เช่า ดอกเบี้ยเงินกู้ถูกลงมาก เมื่อโรงงานผลิตเปิดกันมากเข้า ก็เกิดภาวะล้นตลาด(oversupply) ซ้ำเติมด้วยโรงงานผลิตสินค้าจากประเทศที่เป็นโรงงานของโลกอย่างประเทศจีน ที่เกิดขึ้นในแทบทุกอุตสาหกรรม แถมในฝั่งความต้องการ (demand side) ก็ไม่ได้มากมายล้นเหลือเหมือนแต่ก่อน ก็พบปัญหาใหญ่ คือ การหาลูกค้า และการขายสินค้า ให้ทันกับปริมาณสินค้าที่ผลิตออกมา 

 

    ในภาวะปัจจุบัน ธุรกิจด้านบริการ จึงเป็นธุรกิจที่น่าสนใจกว่า ธุรกิจภาคการผลิตมาก 

 

โดยเฉพาะในรอบ 10 กว่าปีที่ผ่านมา ธุรกิจบริการที่ดำเนินกิจการแลกเปลี่ยนสินค้าที่ไม่มีตัวตน  แต่มีรูปแบบที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้า ให้ความพึงพอใจและตอบโจทย์ความคาดหวัง เช่น ธุรกิจการโรงแรมและการท่องเที่ยว  ธุรกิจสปา ธุรกิจบริการทางการแพทย์ ธุรกิจบริการคมนาคมขนส่ง ธุรกิจการศึกษา ธุรกิจบันเทิง ธุรกิจบริการทางการเงิน(ปล่อยกู้ สินเชื่อรายย่อย) เป็นต้น ล้วนเติบโตขึ้นมากมาย 

 

โดยเฉพาะในกรณีประเทศไทย ที่พึ่งพาการท่องเที่ยวและภาคบริการอย่างมาก ผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 อาจทำให้ภาพการเติบโตของธุรกิจบริการในประเทศลดลงไป แต่เชื่อเถอะว่า นี่คือภาคธุรกิจที่เป็นจุดแข็งของประทศไทยจริงๆ 

 

จุดสำคัญที่นักลงทุนไม่ควรพลาด ในรอบการฟื้นตัวหลังวิกฤตโควิด เพราะหลายกิจการควรจะฟื้นตัวดีขึ้นได้อีกมากในช่วงหลังโควิดนี้ เพราะว่า 

 

  1. ธุรกิจบริการรายเล็กหลายแห่ง ปิดตัวลงไปในช่วงวิกฤตโควิดที่ลากยาวถึง 2 ปี ผู้ที่เหลือรอด เป็นกิจการขนาดใหญ่ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ เช่น ธุรกิจร้านอาหาร ธุรกิจกิจการโรงแรม ธุรกิจห้างสรรพสินค้า เป็นต้น เมื่อเศรษฐกิจกลับมา กิจการที่ยังคงอยู่จะรับลูกค้าได้มากจาก Pent-Up Demand
  2. ธุรกิจบริการหลายแห่ง มีลักษณะกึ่งผูกขาด หรือ กินขาด เช่น ธุรกิจโรงภาพยนตร์ ธุรกิจสปา ธุรกิจขนส่งรถไฟฟ้า ธุรกิจสถานีบริการน้ำมัน ฯลฯ เมื่อปริมาณความต้องการกลับมา กิจการเหล่านี้ก็จะมีโอกาสเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด 

 

ธรรมชาติของธุรกิจบริการ เมื่อความต้องการบริการเพิ่มขึ้น ธุรกิจบริการจะปรับราคาขึ้นได้ เพราะปริมาณสินค้าในตลาดจะไม่ค่อยเพิ่มขึ้นตาม หรือเพิ่มขึ้นได้ช้า ดังนั้น ในรอบการฟื้นตัวจากโควิด นอกจากโอกาสการเพิ่มปริมาณการขายแล้ว ยังมีโอกาสในการปรับราคาเพิ่มขึ้นอีกด้วย

 

ผมเชื่อว่า ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจโรงภาพยนตร์  ธุรกิจสปา มีโอกาสปรับราคาขึ้นได้ หรืออย่างน้อยก็สามารถทำสินค้าบริการตัวใหม่ที่เป็น Luxury Segment ออกมาขายลูกค้าคนไทย รวมทั้งต่างชาติได้ 

 

ยอดขายและกำไรที่เพิ่มขึ้น เป็นการเพิ่มขึ้นแบบไม่ต้องลงทุนเพิ่มอะไรมาก (ใช้สินทรัพย์เดิมที่มีอยู่แล้ว)

 

ดังนั้น ในยุคที่การแข่งขันทางธุรกิจมีมากและรุนแรงแบบนี้ การเลือกธุรกิจบริการที่กึ่งผูกขาด หรือกินขาด พร้อมที่จะกลับมาในโลกหลังโควิด ก็เป็นหนึ่งในกลยุทธ์การลงทุนที่น่าสนใจ


เจ้าของหนังสือ Best Seller “ติวหุ้น รวยด้วยวีไอ” และยังเป็นวิทยากรคอร์ส “ลงทุนแนวปัจจัยพื้นฐานแบบ Value/Growth Investor” ด้วยประสบการณ์ในตลาดทุนกว่า 17 ปี และประสบการณ์ในการเป็นติวเตอร์ บวกกับความเป็นคนอารมณ์ขัน  ทำให้คุณนิ้วโป้งสามารถถ่ายทอดเรื่องยาก อย่างการลงทุน ให้เข้าใจได้ง่าย และยังใช้ภาษา ลีลาที่มีเอกลักษณ์น่าสนใจอย่างยิ่ง จึงทำให้ได้รับเชิญไปบรรยายในงานต่างๆ มากมาย

Facebook

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง