เข้าสู่ช่วง 2 สัปดาห์สุดท้ายของปีในตลาดหุ้นทั่วโลก สิ่งที่นักลงทุนเฝ้าจับตามากที่สุดคือ
"ลุงซานต้า จะมาแจกเงินช่วงปีใหม่หรือไหม ?"
คำว่า "ลุงซานต้าจะมาแจกเงินช่วงปีใหม่" หรือ Santa Claus Rally หมายถึง ปรากฏการณ์ช่วง 7 วันอันแสนมหัศจรรย์ คือ 5 วันเปิดทำการตลาดหุ้นก่อนขึ้นปีใหม่ และ 2 วันเปิดทำการตลาดหุ้นของปีใหม่ ว่าตลาดหุ้นจะเคลื่อนไหวอย่างไร
... ปรากฏว่า หุ้นขึ้นเป็นส่วนใหญ่ และให้ผลตอบแทน "ที่ดี" คล้ายๆกับว่ามีซานต้าครอสแอบมาแจกเงินอยู่เบื้องหลัง ทำให้นักลงทุนคาดกันว่าช่วงปลายปี "หุ้นทั่วโลกมีแนวโน้มที่จะบวกได้"
แต่ถ้าเราอ่านบทวิเคราะห์ จะเห็นว่า Santa Claus Rally อาจจะไม่มาในปีนี้เนื่องจาก "ความกังวล" 2 เหตุผลด้วยกัน อยากจะนำมาเล่าสู่กันฟังแบบนี้ครับ
ความกังวลที่ 1 : การแพร่กระจาย Covid สายพันธุ์ Omicron
การแพร่กระจาย Covid สายพันธุ์ Omicron แพร่กระจายไป แล้วเกือบ 100 ประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะการระบาดระลอกที่ 4 ในกลุ่มประเทศยุโรป และสหรัฐ หลังผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นสูง
>>> ฝรั่งเศส ยกเลิก จัดงานฉลองปีใหม่
>>> เนเธอร์แลนด์ ประกาศ Lockdown ช่วงคริสต์มาส
ในขณะที่ทางฝั่งเอเชียมีแนวโน้มลดลง แต่ถ้าบรรยากาศการลงทุนทางฝั่งยุโรปและอเมริกาไม่ดี ย่อมส่งผลกระทบต่อตลาดเอเชียอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ (ล่าสุดมี รายงานพบ ชาวไทย ติดเชิ้อ สายพันธุ์ Omicron เพิ่ม 6 คน ... เรายังต้องติดตามการประกาศจากภาครัฐกันต่อไป)
ความกังวลที่ 2 : สัญญาณการลด QE (QE Tapering) มีความชัดเจนขึ้น
สัญญาณ QE Tapering จากธนาคารกลางทั่วโลกข้างต้น บ่งบอกว่าสภาพคล่อง ส่วนเกินที่จะรินไหลเข้ามาสู่ตลาดการเงินโลกในอนาคตจะมีแนวโน้มลดน้อยลง
... ส่งผลให้ Flow ของเม็ดเงินที่จะหนุน Upside ในการปรับขึ้นของสินทรัพย์เสี่ยง และตลาดหุ้นทั่วโลกน่าจะจํากัด
ฝ่ายวิจัยเอเชียพลัส วิเคราะห์ว่า หุ้นไทย ในสัปดาห์นึ้ คาดน่าจะแกว่งในกรอบแนวรับ 1620 จุด และแนวต้านสําคัญ ประเมิน 1658 จุด
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยมองว่า ตลาดหุ้นไทยก็ยังมีปัจจัยบวก "อยู่บ้าง" จาก 2 เหตุผลด้วยกัน คือ
1. สภาวะดอกเบี้ยต่ำ หนุนผลตอบแทนหุ้นน่าสนใจ
ฝ่ายวิจัยวิเคราะห์ว่าไทยจะอยู่กับภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำไปอีกระยะหนึ่ง ส่งผลให้ Market Earning Yield Gap (ส่วนต่างผลตอบแทนตลาดหุ้นกับพันธบัตร 1 ปี) อยู่ระดับกว้างต่อไป โดยปัจจุบันอยู่ที่ 4%
ฝ่ายวิจัยมองว่า ผลตอบแทนต่อหุ้นไทยจะอยู่ราวๆ 81 บาทต่อหุ้น ในปี 2565 (เติบโต10%YoY)
ถ้านำมาหาค่า P/E Ratio จะอยู่ที่ 22.73 เท่า และปันผลเฉลี่ย 3.9%
... เท่ากับว่า เป้าหมายดัชนีปี 2565 ที่ระดับ 1,840 จุด แสดงให้เห็นว่าตลาดหุ้นไทย ยังมี Upside ให้ลงทุน
แต่อีกแง่หนึ่ง ASPS ก็เชื่อว่า Downside ของอัตราดอกเบี้ยจะ จํากัดมากเช่นเดียวกัน จึงเป็นบวกต่อหุ้นที่ได้ประโยชน์จากทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่แทบไม่มี Downside เหลือแล้ว ได้แก่
>>> กลุ่มธนาคารพาณิชย์ KBANK SCB
>>> กลุ่มประกันชีวิต BLA
2. โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ "ช้อปดีมีคืน" และมาตรการหนุนรถ EV
>>> มาตรการ "ช้อปดีมีคืน" (นําใบเสร็จค่าใช้จ่ายสินค้า-บริการมาหักลดหย่อน ภาษี) โดย ASPS มองว่าหาก ครม. อนุมัติมาตรการช้อปดีมีคืน เชื่อว่าจะมีผลในช่วงต้นปี 2565 เป็นหลัก และอาจมีลุ้นว่ามาตรการจะครอบคลุมไปถึงเดือน ก.พ. 2565 ซึ่งเป็นช่วงเทศกาลตรุษจีนด้ว
>>> บอร์ด EV เตรียมเสนอ ครม. ลดภาษี สรรพสามิตรถ EV เหลือ 2% หรือ มาตรการเสริม 2 กลุ่ม คือ รถ EV ต่ํากว่า 2 ล้าน ลดราคา 20% คาดใช้เงินกองทุนเพิ่มขีดความสามารถฯ อุดหนุนราคา
โดยภาพรวมแล้วภาพระยะสั้น ตลาดหุ้นไทยรวมถึงตลาดหุ้นทั่วโลกน่าจะมี Upside ที่จำกัดจากความกังวลในเรื่องโรคระบาดที่เพิ่มขึ้น และความชัดเจนของ Qe Tapering
แต่สำหรับหุ้นไทยในปีหน้า มีแนวโน้มที่จะขึ้นได้อีก จากสภาวะดอกเบี้ยต่ำ และโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐที่จะยาวไปถึงต้นปีหน้า