#ข่าวหุ้นธุรกิจการลงทุน

MAKRO ร่วมมือ Lotus’s ขยายตลาดค้าส่ง-ค้าปลีกในภูมิภาคเอเชีย

โดย Advertorial
เผยแพร่:
314 views

ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของวงการค้าปลีกไทยที่ได้รับความสนใจในช่วงที่ผ่านมา คงหนีไม่พ้นการที่ MAKRO รับโอนกิจการทั้งหมดของกลุ่ม Lotus’s ซึ่งจะยกระดับ MAKRO เป็นผู้ประกอบการที่มีธุรกิจครอบคลุมทั้งธุรกิจค้าส่ง (B2B) ธุรกิจค้าปลีก  (B2C) และธุรกิจบริหารพื้นที่เช่าในศูนย์การค้าทันที 

 

การปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งนี้ ช่วยเพิ่มโอกาสขยายตลาดต่างประเทศและเสริมความแข็งแกร่งในธุรกิจค้าส่งของ MAKRO และ Lotus’s ที่เป็นผู้นำในตลาดค้าปลีกมายาวนาน นำมาปรับใช้กับการดำเนินธุรกิจของ MAKRO ที่เป็นผู้นำธุรกิจ B2B และ Lotus’s ที่เป็นผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกรายใหญ่ในประเทศและระดับภูมิภาค 

 

โดยในงวดสำหรับปี 2563 และงวดเก้าเดือนปี 2564 MAKRO มีรายได้รวมประมาณ 2.2 แสนล้านบาท และประมาณ 1.7 แสนล้านบาทตามลำดับ และมีกำไรอยู่ที่ 6.5 พันล้านบาท และ 4.6 พันล้านบาทตามลำดับ ทั้งนี้ หากพิจารณาข้อมูลทางการเงินรวมเสมือน MAKRO ได้รวมกิจการ Lotus’s มาตั้งแต่ต้นจะทำให้ MAKRO มีรายได้รวมเสมือนสำหรับปี 2563 และและงวดเก้าเดือนปี 2564 อยู่ที่ 4.3 แสนล้านบาท และ 3.2 แสนล้านบาท และกำไรรวมเสมือน 9.7 พันล้านบาท และ 5.3 พันล้านบาท ตามลำดับ 

 

บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) หรือ MAKRO เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการชั้นนำในธุรกิจค้าส่งสินค้าอาหารและอุปโภค มีธุรกิจขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ในทวีปเอเชีย เมื่อดูจากยอดขายรวมในปี 2563 โดยดำเนินธุรกิจแบ่งออกเป็น  

1. ธุรกิจศูนย์จำหน่ายสินค้า ที่เน้นขายอาหารสดและอาหารแห้ง และสินค้าอุปโภค แก่ร้านค้าปลีกรายย่อย และกลุ่มโฮเรก้า (HoReCa) ที่เป็นผู้ประกอบการโรงแรม ร้านอาหาร และจัดเลี้ยง และผู้ประกอบธุรกิจบริการ              

2. ธุรกิจ Food Service จำหน่ายอาหารแช่แข็งและแช่เย็น พร้อมบริการพิเศษจัดส่ง (Food Service) ให้แก่กลุ่มโรงแรมระดับ 4-5 ดาว รวมถึงร้านอาหารระดับบน โรงพยาบาล และสายการบิน  

 

จะเห็นได้ว่า MAKRO เน้นเจาะกลุ่ม B2B โดยเป็นกลุ่มโฮเรก้าทั้งขนาดเล็กถึงขนาดกลาง รวมถึงกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อย
ขณะที่ Lotus’s จะเน้นเจาะกลุ่ม B2C ซึ่งเป็นผู้จับจ่ายซื้อของปลีกทั่วไป โดยการที่ MAKRO รับโอนกิจการทั้งหมดของ Lotus’s ในครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ของวงการค้าส่งและค้าปลีก โดยจะยกระดับ MAKRO ขึ้นสู่ผู้นำอันดับ 1 ในธุรกิจค้าส่งและค้าปลีก ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทันที   

ทั้งนี้ MAKRO และ Lotus’s ต่างก็มีฐานลูกค้าสมาชิกเป็นจำนวนมาก โดย MAKRO มีกลุ่มลูกค้าที่เป็นสมาชิกมากกว่า 3.8 ล้านราย (ข้อมูล ณ วันที่ 30 ก.ย. 64) และลูกค้าสมาชิกของ Lotus’s มีจำนวน 20 ล้านรายในไทย และอีก 3 ล้านรายในมาเลเซีย (ข้อมูล ณ วันที่ 28 ก.พ. 64) 

 

หลังจากนี้ MAKRO นำประสบการณ์การทำธุรกิจในไทยมานานกว่า 32 ปี มาทำการตลาดเชิงรุก อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับการสนับสนุน SMEs ผู้ประกอบการรายย่อย โดยมีแผนที่จะขยายสาขาไปยังตลาดภูมิภาคเอเชียอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ Lotus’s ก็ทำธุรกิจค้าปลีกที่ดำเนินกิจการมานานกว่า 27 ปี และมีแผนจะเพิ่มจำนวนร้านค้าที่ให้บริการสั่งซื้อสินค้าทางออนไลน์จากประมาณ 90 สาขา ซึ่งร้านไฮเปอร์มาร์เก็ต เป็นมากกว่า 2,000 สาขา ซึ่งรวมถึงร้านค้าขนาดกลางและขนาดเล็กทั้งหมดของบริษัทฯ ซึ่งหากปัจจัยภายนอกหลังจากที่โควิด-19 เริ่มเบาลง ความต้องการของตลาดสินค้าอุปโภค บริโภคก็จะเป็นที่ต้องการเพิ่มมากขึ้น และเศรษฐกิจก็จะเริ่มฟื้นตัวตามมา  

สำหรับปัจจัยด้านอื่นที่เกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจของ MAKRO หนึ่งในเรื่องที่ MAKRO ให้ความสำคัญไม่น้อยไปกว่าเรื่องอื่น ๆ ก็คือ การใช้แพลตฟอร์ม O2O มาทำการตลาดทั้งในช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ รวมถึงการรักษาไว้ซึ่งมาตรฐานการผลิตสินค้าที่ได้ตามมาตรฐานสากล 

 

ล่าสุด หลังจาก MAKRO รับโอนกิจการกลุ่ม Lotus’s เป็นที่เรียบร้อย ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดย MAKRO ได้ยื่นไฟลิ่งต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนทั่วไป (Public Offering หรือ PO) เพื่อเสริมศักยภาพและความแข็งแกร่งด้านฐานะการเงิน แข่งขันกับคู่แข่งค้าส่ง ค้าปลีก ชั้นนำของโลก 

 

 

ทั้งนี้ จะมีการจัดสรรหุ้นสามัญบางส่วนแก่ผู้ถือหุ้นเดิมของ MAKRO CPALL และ CPF โดยมีรายละเอียด ดังนี้ ผู้ถือหุ้นเดิมของ MAKRO ในอัตราส่วน 10 หุ้นสามัญเดิมของ MAKRO ต่อ 1 หุ้นสามัญของ MAKRO ที่เสนอขาย (ยกเว้น CPALL บริษัทย่อยของ CPALL  CPH และ CPM) และ ผู้ถือหุ้นเดิมของ CPALL ในอัตราส่วน 15 หุ้นสามัญเดิมของ CPALL ต่อ 1 หุ้นสามัญของ MAKRO ที่เสนอขาย (ยกเว้นกลุ่ม CPG ตามแบบ 56-1 ประจำปี 2563 ของ CPALL) รวมถึงผู้ถือหุ้นเดิมของ CPF ในอัตราส่วน 70 หุ้นสามัญเดิมของ CPF ต่อ 1 หุ้นสามัญของ MAKRO ที่เสนอขาย (ยกเว้นกลุ่ม CPG ตามแบบ 56-1 ประจำปี 2563 ของ CPF) 

 

โดยหลังจากนี้ MAKRO จะนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้น นำไปขยายกิจการ ชำระเงินกู้ยืม และเป็นเงินทุนหมุนเวียน  

สำหรับนักลงทุนที่สนใจจองซื้อหุ้นที่เสนอขายในครั้งนี้ MAKRO จะเสนอขายหุ้นสามัญแก่ผู้จองซื้อรายย่อย โดยจะจัดสรรด้วยวิธี Small Lot First ด้วยระบบ SETTRADE โดยจองซื้อผ่านตัวแทนจำหน่ายหุ้น 3 ราย ดังนี้ 1. แอปพลิเคชัน Bangkok Bank Mobile Banking รวมถึงสำนักงานใหญ่และสาขาทั่วประเทศของธนาคารกรุงเทพ 2. แอปพลิเคชัน SCB Easy App รวมถึงสำนักงานใหญ่และสาขาทั่วประเทศของธนาคารไทยพาณิชย์ 3. แอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet โดยบริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที  

 

ส่วนผู้ถือหุ้นเดิมของ MAKRO CPALL และ CPF ที่ได้รับสิทธิจองซื้อหุ้นสามัญ สามารถจองซื้อผ่านตัวแทนรับจองซื้อหุ้น 2 ราย ดังนี้

1. แอปพลิเคชัน Bangkok Bank Mobile Banking รวมถึงสำนักงานใหญ่และสาขาทั่วประเทศของธนาคารกรุงเทพ

2. แอปพลิเคชัน SCB Easy App รวมถึงสำนักงานใหญ่และสาขาทั่วประเทศของธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งทางกลุ่มบริษัทฯ เห็นคุณค่าและให้ความสำคัญกับความเชื่อมั่นที่ผู้ถือหุ้นเดิมของ MAKRO CPALL และ CPF มีต่อกลุ่มบริษัท จึงเปิดโอกาสให้กลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมนี้ ได้ทำการจองซื้อหุ้น MAKRO ตามสิทธิการถือหุ้น และเปิดโอกาสให้สามารถจองซื้อเกินกว่าสิทธิการถือหุ้นที่มีอยู่ได้อีกด้วย 

 

โดย MAKRO กำหนดราคาราคาเสนอขายหุ้น PO ครั้งนี้ที่ 43.50 บาทต่อหุ้น และจะเปิดให้จองซื้อในวันที่ 4-9 ธ.ค. นี้  ซึ่งจำนวนหุ้นที่เสนอขายครั้งนี้ไม่เกิน 1,300 ล้านหุ้น  

การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น PO ที่ 43.50 บาทต่อหุ้น ถือเป็นราคาที่ไม่แพงและเป็นราคาที่มีความเหมาะสมด้วยเหตุผล 4 ประการ ได้แก่ 

1) นักลงทุนทุกกลุ่มจะได้จองซื้อในราคาเดียวกัน ทั้งผู้ถือหุ้นเดิมที่มีสิทธิได้รับจัดสรร ผู้จองซื้อรายย่อย นักลงทุนสถาบัน และนักลงทุนหลักแบบเฉพาะเจาะจง (Cornerstone Investors)

2) ง่ายต่อการสื่อสารและการดำเนินการกับนักลงทุนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะนักลงทุนรายย่อยและผู้ถือหุ้นเดิม ที่มีสิทธิได้รับจัดสรร สามารถชำระเงินจองซื้อด้วยราคาเดียวกัน ทำให้ลดปัญหาเรื่องกระบวนการคืนเงินจองซื้อ 

3) นักลงทุนจะได้จองซื้อหุ้นสามัญ MAKRO ในราคาเดียวกับราคา Swap Price (ราคาแลกเปลี่ยน) ในช่วงที่ บมจ.สยามแม็คโคร ออกหุ้นเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง (PP) เพื่อรับโอนกิจการทั้งหมดของกลุ่มโลตัสส์จากบริษัท ซี.พี. รีเทล โฮลดิ้ง จำกัด เท่ากับเป็นการลงทุนเพื่อเริ่มเติบโตไปพร้อมกับบริษัทฯ และ 

4) ราคาเสนอขาย 43.50 บาทต่อหุ้น ต่ำกว่าราคาหุ้นเฉลี่ยย้อนหลัง 1 สัปดาห์ ซึ่งอยู่ที่หุ้นละ 47 บาท โดยมีส่วนลดประมาณ 7.5% และต่ำกว่าราคาหุ้นเฉลี่ยย้อนหลัง 1 เดือน ซึ่งอยู่ที่หุ้นละ 48 บาท โดยมีส่วนลดประมาณ 9.3%  

 

ทั้งนี้ จำนวนหุ้นที่เสนอขายครั้งนี้ไม่เกิน 1,300 ล้านหุ้น และอาจมีการจัดสรรหุ้นส่วนเกินไม่เกิน 130 ล้านหุ้น ซึ่งทางบริษัทฯ พิจารณาแล้วว่าเหมาะสม เนื่องจากหลังสิ้นสุดการเสนอขายหุ้น PO จะมีสัดส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free Float) เกินกว่า 15% ตามเกณฑ์ขั้นต่ำของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และมีผลกระทบต่อสัดส่วนการถือครองหุ้น (Control Dilution) ของผู้ถือหุ้นเดิม และอัตรากำไรสิทธิต่อหุ้นของ MAKRO (EPS Dilution) น้อยกว่า กรณีที่มี Free Float เป็นจำนวนมากกว่านี้ 

 

ส่วนกลุ่มนักลงทุนหลักแบบเฉพาะเจาะจง (Cornerstone Investors) ซึ่งเป็นนักลงทุนสถาบันชั้นนำมีจำนวน 14 ราย ที่ลงนามในสัญญา Cornerstone Placing Agreement รวมทั้งสิ้นประมาณ 423 ล้านหุ้น มูลค่ารวมกว่า 18,400 ล้านบาท  

 

สำหรับคนที่กำลังสนใจลงทุนในหุ้นธุรกิจค้าส่ง (B2B) และค้าปลีก (B2C) ถือเป็นโอกาสดีที่จะเข้าลงทุนในหุ้น MAKRO เพื่อเติบโตไปด้วยกันในระดับภูมิภาค  

 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร 02-090-9191 (ทุกวันเวลา 09.00-18.00 น.) 

 ----------------------------------------------------------

 ข้อมูลอ้างอิง: 

-ข้อมูลจาก Filing บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) 

-เอกสารสรุปข้อมูลธุรกรรมการรับโอนกิจการทั้งหมด 

-https://www.set.or.th/set/education/glossary.do?language=th&country=TH 

-http://www.efinancethai.com/Advertorial/AdvertorialMain.aspx?release=y&name=ad_202110111515 

-https://www.prachachat.net/finance/news-781032 

-https://www.bangkokbiznews.com/business/965711 

 

ประชาสัมพันธ์ แนะนำเชิงให้ข้อมูลความรู้ ด้านการเงินการลงทุน กองทุน ประกันแบบต่างๆ วงเงินสินเชื่อ บริษัทหรือธุรกิจ อสังหาฯ เว็บไซต์ และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเผยแพร่แก่สาธารณชนให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง  

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง