หลังวิกฤต COVID-19 เริ่มผ่านพ้นหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ธุรกิจอสังหาฯ ประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบก็มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะในปี 2565 – 2566 จากเศรษฐกิจในประเทศที่ฟื้นตัว การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน คมนาคม และโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridors: EEC) ที่เป็นปัจจัยสนับสนุน ตลอดจนมาตรการจากภาครัฐและผู้ประกอบการที่กระตุ้นให้ภาพรวมธุรกิจอสังหาฯ มีความคึกคักมากขึ้น เช่น โครงการ Thailand Elite Card ที่เอื้อชาวต่างชาติเข้ามาซื้ออสังหาฯ การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบเพื่อเพิ่มสัดส่วนลูกค้ากลุ่ม Real Demand และเทรนด์ Work From Home
หนึ่งในผู้ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ ประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบที่กำลังจะเข้า IPO ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในเร็ว ๆ นี้ คือ “บมจ.บริทาเนีย หรือ BRI” โดย BRI ถือเป็น Flagship Company และถือว่าเป็น Growth Engine ที่สำคัญของ บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ หรือ ORI
เรียกได้ว่าความแข็งแกร่งของกลุ่ม ORI เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ BRI สร้างการเติบโตได้อย่างโดดเด่น โดยนอกจากการประสานงานทางธุรกิจร่วมกันแล้ว BRI ยังได้รับประโยชน์และการสนับสนุนในด้านต่าง ๆ ทั้งเงินทุน ความสัมพันธ์อันดีกับพันธมิตรทางธุรกิจและลูกค้า รวมทั้งต้นทุนการพัฒนาโครงการที่ลดลงจากการประหยัดต่อขนาดหรือ Economy of Scale
ปัจจุบัน BRI เป็นผู้เชี่ยวชาญการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งจังหวัดที่ได้รับประโยชน์จากการพัฒนาโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) หรือเป็นจังหวัดที่มีการขยายตัวของนิคมอุตสาหกรรม โดยโมเดลการพัฒนาโครงการของ BRI เน้นรูปแบบโครงการและการตกแต่งภายในที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ การออกแบบพื้นที่ใช้สอยให้ใช้ประโยชน์ได้สูงสุด สิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ และการบริการหลังการขายที่ดูแลลูกค้าเหมือนคนในครอบครัว ภายใต้แนวคิด Human Centric Marketing
สิ่งที่ทำให้โครงการของ BRI โดดเด่นและแตกต่างจากคู่แข่งในตลาดอย่างชัดเจนคือ การให้บริการหลังการขายตลอดช่วงอายุของการพักอาศัย หรือ “Long-Life Living After Sale Service” โดยนำเทคโนโลยี Mobile Application เข้ามาให้บริการ เช่น การนัดหมายจองคิวล่วงหน้าสำหรับบริการแม่บ้านทำความสะอาด ช่างเทคนิค หรือคนสวน ซึ่งตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคในยุคดิจิทัลและเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับลูกบ้านมากขึ้น
แม้บริษัทฯ เน้นพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ แต่ BRI ได้พัฒนาโครงการให้ครอบคลุมลูกค้าทุกกลุ่มที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยที่แตกต่างกัน ตั้งแต่วัยเริ่มทำงาน (First Jobber) กลุ่มลูกค้าที่ต้องการเปลี่ยนจากการเช่าเป็นการซื้อที่พักอาศัย กลุ่มผู้ประกอบอาชีพอิสระ ผู้บริหารระดับสูง ไปจนถึงเจ้าของกิจการขนาดใหญ่ ภายใต้ 4 แบรนด์หลัก ได้แก่ ไบรตัน บริทาเนีย แกรนด์ บริทาเนีย และเบลกราเวีย โดยมีระดับราคาหลากหลายตั้งแต่ยูนิตละ 2.5 – 50 ล้านบาท
จากวิชั่นที่จะก้าวสู่การเป็นผู้นำธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ ประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบ ที่มุ่งสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อพัฒนาการอยู่อาศัยและยกระดับการใช้ชีวิต BRI จึงวางกลยุทธ์ขยายการพัฒนาโครงการไปยังจังหวัดที่มีศักยภาพเพิ่มขึ้น โดยเน้นทำเลที่อยู่ใกล้นิคมอุตสาหกรรมซึ่งเป็นแหล่งงานที่สำคัญ โดยเฉพาะจังหวัดในพื้นที่โครงการ EEC รวมถึงพื้นที่ที่มีอัตราการเติบโตของประชากรสูง
เป็นที่มาของการวางแผนพัฒนาโครงการตามหัวเมืองใหญ่ที่มีศักยภาพในภูมิภาคต่าง ๆ เช่น อุดรธานี ระยอง เป็นต้น เพื่อตอบสนองความต้องการที่อยู่อาศัยของประชาชนในพื้นที่ดังกล่าว นอกจากนี้ BRI ยังตั้งเป้าพัฒนาโครงการใหม่ให้ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และจังหวัดใกล้เคียง ภายในระยะเวลา 5 ปี เช่น สมุทรปราการ นนทบุรี ปทุมธานี นครปฐม สมุทรสาคร สมุทรสงคราม ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง และพระนครศรีอยุธยา
โดย BRI มีโครงการที่อยู่ระหว่างพัฒนา 6 โครงการ ทยอยเปิดขายในช่วงไตรมาส 4/ 2564 รวมมูลค่าโครงการประมาณ 4,300 ล้านบาท และมีโครงการใหม่ซึ่งจะเปิดขายในปี 2565 อีก 9 โครงการ รวมมูลค่าโครงการประมาณ 10,800 ล้านบาท เช่น โครงการบริทาเนีย ราชพฤกษ์ – นครอินทร์, บริทาเนีย อุดร-ดุษฎี, โครงการบริทาเนีย ระยอง เป็นต้น
เพื่อขยายธุรกิจตามแผนงานและสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง BRI จึงเดินหน้าเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 252,650,000 หุ้น คิดเป็นไม่เกินร้อยละ 29.6 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนครั้งนี้ เพื่อนำเงินไปใช้พัฒนาโครงการ ชำระเงินกู้ยืม และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ
โดยการเสนอขายหุ้น IPO ของ BRI ครั้งนี้ กำหนดราคาเสนอขายที่หุ้นละ 10.50 บาท
โดยจะเปิดให้ผู้ถือหุ้น ORI ที่มีสิทธิจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ BRI (Pre-emptive Rights)
จองซื้อในวันที่ 7 – 9 ธ.ค.นี้ ผ่าน 3 ช่องทาง ได้แก่
- จองซื้อผ่านระบบ Electronic Rights Offering (“E-RO”) บนเว็บไซต์ www.yuanta.co.th
- ยื่นใบจองซื้อ ณ สำนักงานใหญ่ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด
- จองซื้อผ่านทางโทรศัพท์บันทึกเทป (สำหรับผู้ที่มีบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์กับ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เท่านั้น)
ส่วนนักลงทุนทั่วไปสามารถจองซื้อได้ในวันที่ 13 – 15 ธ.ค.นี้ โดยมีผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด รวมถึงผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอีก 4 ราย ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.britania.co.th
----------------------------------------------
References
- แบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และหนังสือชี้ชวนฉบับเต็มของ บมจ.บริทาเนีย ซึ่งได้ยื่นต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ที่ www.sec.or.th
- Press Release BRI