#ข่าวหุ้นธุรกิจการลงทุน

อุปสรรคเศรษฐกิจไทย เมื่อคนไทยกำลังจะฟื้นตัวได้ช้ากว่าจีดีพีของประเทศ

โดย stock2morrow
เผยแพร่:
115 views

สาระสำคัญ

  • ประเทศไทยจะฟื้นตัวได้ใกล้เคียงก่อนโควิด คือ ไตรมาส 1/66
  • ถึงแม้ว่าจะฟื้นตัว แต่ในมุมประชาชนอาจฟื้นตัวช้ากว่าตัวเลขจีดีพีของประเทศ
  • ไม่ควรคาดหวังจากเรื่องการท่องเที่ยวว่าจะทำให้ตัวเลขกลับมา 40 ล้านคนในเวลาอันรวดเร็วนั้นเป็นไปได้ยาก
  • แบงก์ชาติคิดว่าปีนี้ เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 0.7% โดยถ้าไม่มีนโยบายการคลังมาช่วย เราอาจจะได็เห็นเศรษฐกิจไทยติดลบราวๆ 4%
  • การทำ QE ประเทศไทยสามารถทำได้แต่ไม่เหมาะกับบริบทของไทย เพราะเป็นการแก้ปัญหาแบบไม่ตรงจุด

 

 

 นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยในงานเสวนา "การเงิน-การคลัง กู้วิกฤติเศรษฐกิจไทย" โดยแสดงความคิดเห็นว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวได้ใกล้เคียงก่อนโควิด คือ ไตรมาส 1/66 โดยอาจจะฟื้นตัวได้ในเชิงตัวเลขเท่านั้น แต่ในมุมของประชาชน โดยเฉพาะภาพแรงงาน และรายได้ อาจฟื้นตัวช้ากว่าตัวเลขจีดีพี เนื่องจาก การจ้างงานยังอิงกับภาคการท่องเที่ยว แม้ไทยจะเปิดประเทศตั้งแต่ 1 พ.ย. 64 แต่การที่จะทำให้ตัวเลขกลับมา 40 ล้านคนในเวลาอันรวดเร็วนั้นเป็นไปได้ยาก

 

 

โดยในปี 65 คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวมาไทยเพียง 6 ล้านคนเท่านั้น ขณะเดียวกันภาคแรงงานยังเผชิญกับหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง สายป่านสั้น จึงเป็นความเสี่ยง โดยเฉพาะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่จะไม่ทั่วถึง

นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า ยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงเรื่องการแพร่ระบาดของโรคว่าจะมีระลอกใหม่หรือไม่ แต่หากดูตัวเลขการฉีดวัคซีนที่มากกว่าคาด ทำให้ความเสี่ยงมีลดลง แต่อย่างไรก็ตามประชาชนจะต้องการ์ดไม่ตก เพื่อลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้
... รวมถึงยังต้องติดตามการฟื้นตัวช้า และไม่เท่าเทียมกันด้วย

 

สำหรับโจทย์สำคัญของไทยในอนาคต คือ จะต้องทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวแบบไม่สะดุด ทำได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการดูสภาพตลาดการเงินไม่ตึงตัว ไม่มีความเสี่ยงเรื่องการชำระหนี้
ขณะที่การฟื้นตัวที่ไม่ทั่วถึง จะต้องมีมาตรการที่ตรงจุดเพื่อช่วยกลุ่มที่ฟื้นตัวช้ากว่า ซึ่งมองว่า มาตรการด้านการคลังจะช่วยในเรื่องนี้ได้ และเป็นโจทย์สำคัญที่จะต้องเผชิญในอนาคต

 

ธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวอีกว่าการทำนโยบายต่างๆนั้น ทุกนโยบายมีขีดจำกัด และมีผลข้างเคียง ดังนั้นจะพิจารณาว่าจะทำอย่างไรให้นโยบายการเงินมีประสิทธิภาพอย่างเต็มที่ ขณะเดียวกันการประสานนโนยบายการเงิน และการคลังนั้นเป็นเรื่องที่ดี เนื่องจากนโยบายการคลัง จะมีจุดแข็งคือเห็นผลเร็วตรงจุด แต่อาจใช้เวลานนานเนื่องจากเป็นเรื่องของเงินงบประมาณ ขณะที่นโยบายการเงินนั้น เห็นผลต้องใช้เวลา ต้องมต้องมีการส่งผ่านนโยบาย และผลอาจไม่ค่อยตรงจุด แต่ทำได้เร็ว
... ทั้งนี้นโยบายการเงินการคลัง ไม่ควรทำแบบสุดโต่ง เพราะจะมีข้างเคียงจะเกิดขึ้น โดยหากดูภาพรวมพบว่า ต่างประเทศทั่วโลกทำนโยบายค่อยข้างสุดโต่ง สะท้อนจากดอกเบี้ยนโยบายประเทศต่ำเตี้ย เป็น 0% หรือ ใกล้ 0% ขณะที่ ทางฝั่งการคลังกระตุ้นอย่างเต็มที่ส่งผลให้หนี้สาธารณะสูงขึ้น ซึ่งไทยก็อยู่ในบริบทนี้เช่นเดียวกัน โดยพบว่า หนี้ภาครัฐสูงที่สุดตั้งแต่เป็นมาหลังสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ต้นทุน ในเรื่องภาระหนี้สาธารณต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ เพราะอัตราดอกเบี้ยต่ำ ดังนั้นการทำนโยบายสุดโต่ง นานเกินไป ก็จะเกิดความเสี่ยงเรื่องเสถียรภาพจะถูกกระทบ เพราะหากธนาคารกลางอยากขึ้นดอกเบี้ย ก็จะทำให้ภาระหนี้ทางการคลังสูงขึ้น

 

"การทำนโยบายการเงิน การคลังนั้นไม่ควรทำแบบสุดโต่ง เพราะหากทำอย่างเต็มที่ สุดโต่งมันกระทบเสถียรภาพ มันทำให้ทุกอย่างรวนไปหมด ขาดฝั่งใดฝั่งหนึ่งไม่ได้ ขาดเสถียรภาพการเงิน ก็ทำไม่ได้ ขาดเรื่องเสถียรภาพการคลัง พื้นฐานของเสถียรภาพเศรษฐกิจ ดอกเบี้ยจะสูง ความเชื่อมั่นคนไม่มี ทุกอย่างต้องทำแบบมีข้อจำกัด"นายเศรษฐพุฒิ กล่าว

 

สำหรับปีนี้ ธปท.คาดว่า เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 0.7% ซึ่งยอมรับว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาคการคลังนั้นทำให้เศรษฐกิจในปีนี้ขยายตัวได้ วึ่งหากไม่มีมาตรการด้านการคลัง มีโอกาสที่ปีนี้ เศรษฐกิจไทยจะติดลบมากกว่า 4% ขณะเดียวกันหากมองภาพรวมตั้งแต่การดำเนินมาตรการด้านการคลังมาทั้งหมดตลอดระยะเวลาปี 63-65 นั้น มองว่ามีผลต่อจีดีพีมากถึง 10.8%

 

ส่วนการดำเนินการของธปท.ที่ผ่านมาได้ดำเนินการมาหลายมาตรการ โดยมาตรการที่ทำล่าสุดจะเน้นตรงจุด เฉพาะเจาะจงมากขึ้น เพราะการทำมาตรการปูพรม ให้ในวงกว้างไม่ตรงเป้าหมาย ขณะเดียวกันมีกระแสให้ธปท. ทำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเชิงปริมาณ (QE) เช่นเดียวกับต่างประเทศ ยืนยันว่า มาตรการดังกล่าวนั้น ไม่เหมาะกับบริบทของไทย แม้จะทำได้ แต่ไม่ได้ผล เนื่องจากมาตรการ QE ทำเพื่อลดผลตอบแทนพันธบัตร แต่สำหรับไทย การส่งผ่านผลตอบแทนพันธบัตรนั้นอาจไม่ได้ผล เพราะเอสเอ็มอีส่วนใหญ่ที่ได้รับผลกระทบนั้น ไม่ได้พึ่งพาตลาดบอนด์มากนั้น แต่จะเป็นกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่มากกว่า ดังนั้นหากดำเนินมาตรการอาจไม่ได้เกิดประโยชน์กับกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจริง


ศูนย์รวมความรู้เรื่องหุ้น ศูนย์รวมนักลงทุนรายย่อย ที่อยากรู้วิธีการลงทุนในหุ้นอย่างถูกต้องและได้กำไรอย่างยั่งยืน ติดตามเราได้ที่

www.stock2morrow.com 

FB: stock2morrow 

LINE@stock2morrow

FacebookInstagramYoutubeLine

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง