ตลาดหุ้นจีนเอาชนะ S&P 500 ขาดลอย - ผลตอบแทน 3,500% ใน 25 ปี ตั้งแต่ช่วงปี 1990 ที่ผ่านมา เศรษฐกิจจีนโตแทบจะระเบิดด้วยการเติบโต GDP เกือบ 10% มาตลอด ใช้เวลาไม่นานก็ก้าวขึ้นมาจากขนาดเศรษฐกิจที่ไม่มีใครมอง จนกลายเป็นเบอร์ 2 ของโลกในเวลานี้ที่ทุกคนจับตามอง
แต่ตลาดหุ้นจีนก็มีการแกว่งตัวที่รุนแรง มี bull/bear market บ่อยครั้ง ทำให้นักลงทุนระยะสั้นต้องเจ็บตัวได้ไม่ยากเหมือนกัน ในช่วงแรกๆที่เศรษฐกิจจีนโตระเบิดจากการปล่อยสินเชื่อแบบบ้าคลั่ง และเกิดฟองสบู่ของเครดิตขึ้นมา ระดับเงินเฟ้อของเมืองจีนพุ่งขึ้นไปสูงถึง 24% ในปี 1994
แต่แล้วผู้นำจีน Zhu Rongji ก็สามารถชะลอความร้อนแรงของเศรษฐกิจลงมาได้ ไม่เกิด "hard-landing" แต่เป็น "soft-landing" โดยนำระดับเงินเฟ้อลงมาที่ระดับ 8.3% ในปี 1996 และ 2.8% ในปี 1997 (ใช้เวลา 3 ปีเท่านั้น จาก 24% มาเหลือ 2.8%)
ความสามารถของผู้นำคนนี้เคยพิสูจน์แล้วว่า จีนมีประสบการณ์เรื่องการจัดการกับเศรษฐกิจมาอย่างดี แม้สื่อปัจจุบันหลายๆสื่อคาดว่าจีนจะเจอ "hard-landing" จากตัวเลขการเติบโตที่ลดลง หนี้เสียเยอะ เป็นหนี้มากก็ตาม
Jim Rogers ให้สัมภาษณ์กับ Yahoo Finance ว่าตลาดหุ้นจีนน่าจะเป็นตลาดหุ้นที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก แกร่งกว่าตลาดหุ้นอเมริกามากๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่ควรจะกังวลกับปัญหาที่เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจจีนในขณะนี้
ที่ผ่านมาช่วงที่บริษัทรัฐวิสาหกิจจีน (SOE) ได้เริ่มเข้าไประดมทุนในตลาดหุ้นฮ่องกงนั้น แทบไม่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเลย เพราะบริษัทเหล่านี้บริหารจัดการไม่ดี เป็นผลมาจากระบบการปกครองเก่าที่รัฐจะคุมการบริหารจัดการทุกอย่างแบบไม่มีประสิทธิภาพ
แต่ในรัฐบาลจีนเริ่มมีการผลักดันให้บริษัท SOE ขนาดใหญ่ไประดมทุนในตลาดหุ้นต่างชาติมากขึ้น เพื่อเป็นการบังคับให้ SOE ปรับโครงสร้างการบริหาร และใช้ระบบบัญชีที่ยอมรับกันในระดับสากลมากขึ้น
และในปีนี้ รัฐบาลก็ออกแผนแม่แบบให้บริษัท SOE เริ่มปฏิรูปตัวเองมากขึ้น เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการแข่งขันแบบ free-market ได้ในประเทศและในระดับสากล
ก้าวต่อไปที่หน้าสนใจสำหรับพัฒนาการของตลาดหุ้นจีนก็คือ การ "เปิด" ออกของการเข้ามาลงทุนของต่างชาติมากยิ่งขึ้น เช่น การเชื่อมโยงตลาดหุ้นจีนเข้ากับตลาดหุ้นต่างชาติ อย่างการเชื่อมตลาดเซินเจิ้นกับตลาดฮ่องกง หรือจะเป็นการศึกษาการเชื่อมตลาดเซี่ยงไฮ้กับตลาดลอนดอน
หากทำได้ บริษัท SOE ใหม่ๆที่มีความสามารถและธุรกิจมีความน่าสนใจก็จะเป็นที่รู้จักในเวทีโลกมากยิ่งขึ้น และนักลงทุนรอบโลกก็จะสามารถเข้าไปเป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้นเช่นกัน
ขอบคุณภาพจาก Bloomberg
บทความโดย: บูม MoneyCrown / FB: MoneyCrown