ตลาดหุ้นมีทั้งแรงซื้อและแรงขาย เมื่อหุ้นตัวหนึ่งมีแรงซื้อเข้ามามากและราคาหุ้นขึ้นไปถึงระดับหนึ่งก็จะมีนักลงทุนบางกลุ่มเทขายทำกำไรลงมา ราคาหุ้นที่ลงมานั้นเราเรียกกันว่า "การปรับฐาน"

หนังสือ How to Make Money in Stocks ได้อธิบายไว้ว่าหุ้นที่สร้างผลตอบแทนเป็นพันเท่า ล้วนแต่ผ่านการปรับฐานมาแล้วหลายครั้ง บางตัวปรับฐานเป็น 10 ครั้ง แต่ละครั้งกินระยะเวลานานเฉลี่ย 6-9 เดือน ก่อนจะวิ่งทำจุดสูงสุดใหม่แล้วกลับมาปรับฐานอีกครั้ง และสร้างผลตอบแทนเป็นพันเท่าอย่างที่เราได้เห็นในปัจจุบัน

สิ่งที่นักลงทุนควรทำ คือ อดทน ... ไม่ยอมแพ้ขายหุ้นทิ้งไปซะก่อน
เพราะช่วงเวลาของการปรับฐานเป็นช่วงเวลาที่น่าเบื่อมาก ส่วนใหญ่เรามักจะเทขายทิ้งไปซะก่อนเพื่อไปหาหุ้นตัวใหม่ ทั้งที่ในความเป็นจริงหุ้นที่เรามีอยู่ คือหุ้นที่ดีที่สุดแล้วนั้นเอง

หุ้น PepsiCo. คือตัวอย่างของหุ้นพื้นฐานดี มีการเติบโตและสร้างผลตอบแทนได้หลายร้อยเท่าใน 20 ปีที่ผ่านมา แต่กว่าจะมาถึงวันนี้มีการปรับฐานมาแล้วหลายครั้ง แต่ละครั้งใช้เวลานานประมาณ 8-9 เดือนในการที่จะกลับมาทำจุดสูงสุดใหม่อีกครั้ง เช่น
ช่วงปี 1999 ราคาหุ้นแกว่งตัวยาวนานถึง 12 เดือนก่อนจะกลับมาทำจุดสูงสุดใหม่ได้ในเดือนที่ 13
ช่วงปี 2008 ราคาหุ้นลดลงมากกว่า 50% เป็นขาลงมาตลอด 13 เดือน และไซด์เวย์ออกข้างยาวนานมากถึง 72 เดือน (6 ปี) ถึงจะกลับมาทำจุดสูงสุดใหม่ได้อีกครั้ง

หุ้น McDonald เป็นหุ้นที่น่าสนใจอีกตัวที่ปรับฐาน ถึงแม้จะดูไม่ได้ปรับฐานบ่อย แต่การปรับฐานแต่ละครั้งกินระยะเวลายาวนาน บางช่วงกินระยะเวลานานถึง 3 ปี บางช่วงยาวนานถึง 5 ปี แต่สุดท้ายเมื่อผลประกอบการเติบโตได้ ธุรกิจยังดีเยี่ยม ราคาหุ้นก็จะทำจุดสูงสุดใหม่ได้เสมอ

กว่าที่ตลาดจะเกิดขาขึ้น (Uptrend) รอบใหม่ได้ในแต่ละครั้งใช้เวลานานพอสมควร บางครั้งนักลงทุนอาจจะเบื่อไปซะก่อนเลยตัดสินใจขายทิ้งไปเข้าหุ้นตัวใหม่
แต่หนังสืออยากจะฝากข้อคิดไว้ว่า เมื่อช่วงที่ราคาหุ้นยังผันผวนมาก (High Volatility) แสดงว่าการปรับฐานยังไม่จบ เพราะแนวโน้มจะเริ่มมาก็ต่อเมื่อราคาหุ้นเริ่มแกว่งตัวในกรอบแคบ ผันผวนน้อยลง เริ่มเงียบ วอลุ่มเริ่มบางๆ จังหวะนั้นอาจจะเป็นการเลือกทิศทางของราคาหุ้น

นี้ก็เป็นข้อคิดจากหนังสือ How to Make Money in Stocks การปรับฐานหรือลดลงของราคาหุ้นก็ไม่ใช่เรื่องน่ากังวลซะทีเดียว เราควรมองเป็นโอกาสด้วยซ้ำนั้นเองครับ