Dividend Yield หรืออัตราการปันผล ... เมื่อพูดถึงปันผลแน่นอนว่ามันต้องเป็นความหมายใน "เชิงบวก" แน่นอนอยู่แล้ว
ถ้าหุ้นไหนปันผลมาก ยิ่งดี แสดงว่าหุ้นมี Dividend Yield สูง
ถ้าหุ้นไหนปันผลน้อง แสดงว่าแย่ หุ้นมี Dividend Yield ต่ำ
... อันนี้เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง
คำว่า Dividend Yield คือ เราจะได้ปันผลกี่เปอร์เซ็นต์ เทียบกับราคาที่เราซื้อ ... ย้ำว่าต้องเป็นราคาที่เราซื้อ
เรามาดูตัวอย่างกันครับ นี้เป็นหุ้นที่กำไรค่อนข้างคงที่แต่บริษัทก็ยังจ่ายปันผลออกมาได้
หุ้น T ที่ราคา 21 บาท มี Dividend Yield ประมาณ 2.34%
เมื่อเวลาผ่านไป หุ้น T เหลือ 8 บาท จ่ายปันผลเกือบเท่าเดิมเลยทำให้มี Dividend Yield ราวๆ 4.22%
หุ้น T ลงมาลึกเกินเลยเด้งไป 10 บาท จ่ายปันผลเท่าเดิมเลยทำให้มี Dividend Yield ราวๆ 3.24%
... เห็นไหมครับว่าเทียบกับราคาที่เราซื้อ
นั้นหมายความว่า หุ้นตัวเดียวกัน ถ้าต้นทุนของคนซื้อแตกต่างกัน ก็จะให้ Dividend Yield แตกต่างกัน ... ราคาหุ้นคือทุกสิ่ง บางทีเป็นหุ้นที่ดีมาก แต่ถ้าเราซื้อแพง โอกาสที่จะได้กำไรจากส่วนต่างราคาก็ยาก ยิ่งได้ปันผลก็มี Dividend Yield น้อยตามไปด้วย
ประเด็นคือ เวลานักลงทุนเอาไปใช้จริง เปิดเว็บของตลาดหลักทรัพย์ขึ้นมา มักจะมองดูเลยว่า ถ้า Dividend Yield เยอะแสดงว่าได้เยอะ ... ซึ่งมันก็ไม่ผิดครับ แต่สุดท้ายแล้วเทียบกับราคาที่เราซื้อ และที่สำคัญเราจะต้องคาดเดาผลประกอบการว่าไม่ลดลงด้วย
เพราะ Dividend Yield เป็นเรื่องของอดีต
ทำไมเป็นเรื่องของอดีต ?
เพราะว่า Dividend Yield จะได้มากหรือว่าน้อย ขึ้นอยู่กับกำไรของบริษัทที่ทำได้นั้นเองครับ
มองภาพง่ายๆ ปันผลที่เราได้ปีนี้ เป็นกำไรของบริษัทที่ทำได้เมื่อปีที่แล้ว
ถ้าบริษัททำกำไรได้มากขึ้น แสดงว่าปีหน้ามีโอกาสที่จะจ่ายปันผลมากขึ้นตามไปด้วย
ถ้าบริษัททำกำไรได้น้อยลง ปีหน้าก็มีโอกาสจ่ายปันผลน้อยลง
ถ้าบริษัท "ขาดทุน" ปีหน้าก็จะ "งด"จ่ายปันผล (หรือกรณีพิเศษ คือ เอากำไรสะสมของบริษัทมาจ่าย)
ดังนั้น เวลาเล่นหุ้นเพื่อ "เอาปันผล" นักลงทุนต้องมองให้ออก และเลือกบริษัทที่มีกำไรไม่ผันผวน เติบโตสม่ำเสมอ ครับ ...