ลงทุนให้กำไร ไม่ต้องสมบูรณ์แบบมากก็ได้
ผมเชื่อว่านักลงทุนสายพื้นฐาน VI คนที่ชอบแกะงบการเงิน จะต้องเป็นคนละเอียดพอสมควร ในการที่จะดูตัวเลข ดูตัวธุรกิจ ดู Demand Supply ต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี แต่บางครั้งผมก็มักจะเจอบางคน หรือแม้แต่ตัวเองก็เป็นในบางครั้ง คือ ละเอียดเกินไป ต้องการข้อมูลที่ครบถ้วนเพื่อความมั่นใจในการลงทุน
ฟังดูมันก็ดีไม่ใช่หรอ แล้วปัญหามันอยู่ตรงไหนล่ะ เอาเท่าที่ผมเคยพบเจอนะครับ
- ไม่กล้าลงทุน ไม่กล้าซื้อหรือขายหุ้นถ้าได้ข้อมูลไม่ครบ กังวลไปซะหมด
- ซื้อขายช้าเกินไป เพราะตลาดหรือนักลงทุนคนอื่น เขาซื้อขายไปก่อนแล้ว ไม่ต้องรอดูข้อมูลให้ครบ
- ไม่กล้าซื้อหุ้นเยอะเพราะกลัวจะตัดสินใจผิด ทำให้ถ้าหุ้นขึ้นเยอะ แต่เราซื้อน้อย กำไรเป็นเปอร์เซ็นต์มากจริง แต่คิดเป็นตัวเงินกลับน้อยนิด
คำแนะนำของวิตามินหุ้นที่อยากฝากเป็นไอเดียให้ลองไปปรับใช้กันดู คือ
- ไม่ต้องคำนวณแบบละเอียดจนเกินไป ไม่ต้องคิดทศนิยมสองสามตำแหน่งก็ได้
ผมเคยเห็นบางคน เปิดงบการเงิน คำนวณทศนิยมสองสามตำแหน่ง ตัวเลขเยอะแยะเต็มไปหมด สุดท้ายมึนเอง ผมว่าการคำนวณละเอียดแค่ไหน ขึ้นอยู่กับว่าเราดูอะไร
- ถ้าเราดูรายได้ กำไรของบริษัทที่มีหลักพันล้านบาท หมื่นล้านบาท ทศนิยมอาจไม่สำคัญ
- ถ้าเราดู GPM, NPM ทศนิยมต้องมี แค่หลักเดียวก็คงพอเพื่อให้เห็นภาพ ยกเว้นหุ้นที่มาร์จิ้นต่ำมากๆ แบบ 1-2% ค่อยไปดูสองตำแหน่ง
- แต่ถ้าเราดู EPS ที่เป็นหลัก 0.xx บาท แบบนี้ก็จำเป็นต้องดูทศนิยมสองตำแหน่ง
สรุปในหลักการ คือ มันมีนัยสำคัญแค่ไหน ถ้าตัดทศนิยมทิ้งไป หรือดูแค่ตำแหน่งเดียว มันส่งผลต่อการตีความหมายผิด หรือ การประเมินมูลค่าผิดเพี้ยนไปหรือเปล่า ถ้าไม่ ก็ไม่จำเป็นต้องดูละเอียดขนาดนั้น ดูแบบสะอาดๆ สบายตา ดีกว่า
- ไม่ต้องสนใจรายได้อื่นมากก็ได้ ถ้าไม่ได้ผิดปกติ และมีสัดส่วนน้อยมาก
ในแต่ละบริษัทจะมีรายได้มาจากหลายทาง จากยอดขายสินค้าหลัก รายได้บริการ แต่ในบางครั้งก็อาจจะมีรายได้อื่นๆ เช่น รายได้ดอกเบี้ย รายได้ค่าเช่า บางคนก็ซีเรียสกับรายได้ทุกบรรทัด เอามาดู เอามาคิดเยอะ ว่าทำไมถึงลดลง 30%, 50% จะมีปัญหาอะไรมั้ย ส่วนตัวผมจะดูแบบนี้
- สัดส่วนของรายได้อื่นเยอะแค่ไหน ถ้าไม่ถึง 3% ผมก็อาจจะไม่ได้มองว่ามีนัยสำคัญมาก เพราะไม่ได้ส่งผลกระทบกับรายได้รวมมากมายนัก
- รายได้อื่นมีโอกาสเปลี่ยนแปลงไปในทางขึ้นหรือลงแบบมีนัยสำคัญในอนาคตมั้ย เช่น ถ้าบอกว่าสัดส่วน 3% จริง แต่เวลาขาดทุน มีโอกาสต้องตั้งสำรองก้อนโต ถ้าแบบนี้เราก็จะมองให้ละเอียดหน่อยได้เป็นบางกรณีไป
- ไม่ต้องนั่งแกะงบทุกบริษัทย่อย ถ้าไม่มีผล
หลายบริษัทมีลูกเยอะ มีบริษัทย่อย กิจการร่วมค้าเยอะ ถ้าอยากประเมินราคาแบบละเอียดยิบ การทำ sum of the part เอามูลค่าของแต่ละกิจการมารวมกัน ถ้าทำได้ก็จะดี แต่ปัญหาคือ ถ้ามีบริษัทลูก 10-20 บริษัท หรือบางบริษัทอยู่นอกตลาด หาข้อมูลยากอีก กว่าจะเก็บข้อมูลครบ ทำเสร็จใช้เวลาเป็นเดือน แบบนี้ก็ไม่คุ้ม ผมแนะนำแบบนี้ครับ
- ให้ดูว่า 70-80% ของรายได้มาจากบริษัทไหนบ้าง กี่บริษัท ดูแค่นั้นก่อน เพราะจะมีผลต่องบของบริษัทแม่ที่เราซื้อหุ้น
- บริษัทที่เหลือ ถ้าหาข้อมูลได้ มีเวลาดู ก็ดูได้ แต่ถ้าหาข้อมูลยาก เวลาน้อย ให้ดูแค่ว่ามีความเสี่ยงที่จะมีปัญหา สร้างภาระหนี้ก้อนโต ล้มละลาย หรือส่งผลต่อบริษัทแม่หรือเปล่า
- ไม่ต้องคำนวณราคาเหมาะสมให้ได้แบบเป๊ะๆ
ผมเชื่อว่าวิธีการประเมินมูลค่าหุ้นเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ขึ้นอยู่กับข้อมูลที่เราใส่ลงไปในการคำนวณ และมีการเปลี่ยนแปลงได้เมื่องบออก หรือสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป แปลว่า เราหาข้อมูลสำคัญให้ได้มากที่สุดก่อน แล้วประเมินมูลค่าด้วยวิธีการที่เหมาะสมกับบริษัทนั้น
- ประเมินมูลค่าทั้ง worst case, base case และ best case เพื่อให้เราเข้าใจกรอบของราคาที่น่าจะวิ่งได้ มันจะไม่จำเป็นว่าต้องได้ออกมาเป็นเลขตัวเดียวให้เราจำเพื่อทำการซื้อหรือขาย
- วางแผนจุดซื้อที่ได้เปรียบ จุดถอยถ้าผิดทาง จุดทำกำไรเมื่อจบเกมส์
- ประเมินมูลค่าใหม่เมื่องบออกทุกไตรมาส หรือสถานการณ์เปลี่ยน
สำหรับผมนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การเข้าใจ business model ของธุรกิจแต่ละบริษัทว่าเป็นอย่างไร ความเสี่ยงคืออะไร ตัวเร่งในการเติบโตคืออะไร เริ่มต้นด้วยการเข้าใจภาพรวมของธุรกิจให้ได้ก่อน
พอมาถึงรายละเอียดของตัวงงบการเงิน การประเมินมูลค่า ผมใช้หลักการที่ว่า ถ้ารู้ได้ 100 ก็จงรู้ให้หมด
แต่ถ้ารู้ได้แค่ 70-80% แล้วพอใช้งานได้ ก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเป็นเดือนเพื่อเติมให้ครบร้อยแล้วได้ประโยชน์เพิ่มแค่นิดเดียว ลงมือทำไปก่อน หรือซื้อหุ้นได้ถ้าราคาเหมาะสม เดี๋ยวช่องว่างที่เราไม่รู้มันจะมาเติมเต็มระหว่างทางเอง
อย่าลืมว่า เรามาลงทุนหาเงินในตลาดหุ้น ไม่ได้มาทำข้อสอบให้ถูกต้องทุกกระบวนการ
ตลาดหุ้นไม่ได้ให้คะแนนความสวยงาม แต่ให้คะแนนคนที่ซื้อและขายถูกต้องเท่านั้น