#ลงทุนแนวปัจจัยพื้นฐาน

STA หัวใจหลักอยู่ที่ "ถุงมือยาง"

โดย stock2morrow
เผยแพร่:
172 views

ราคาหุ้นดูไม่ Perform ในครึ่งปีหลังสำหรับหุ้น STA หรือบริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) ถ้าเทียบกับปีที่แล้วมาจนถึงครึ่งแรกของปีนี้ เมื่อสำรวจบทวิเคราะห์แล้วก็ต้องยอมรับว่า "น่ากังวล" อยู่เหมือนกันในหุ้นที่มีความคาดหวังมาก แต่ผลประกอบการไม่ได้เป็นไปตามที่หวัง
ประเด็นสำคัญที่นักลงทุนให้ความสนใจ คือ ผลประกอบการไตรมาส 3 ที่มีแนวโน้มลดลง ราคายางลดลง และถุงมือยางก็มีแนวโน้มหดตัวลง
... เรามาดูกันว่า บทวิเคราะห์มีประเด็นอะไรที่น่าสนใจบ้าง สำหรับหุ้น STA

ฝ่ายวิจัยเอเชียพลัส วิเคราะห์ ผลประกอบการไตรมาส 3 ที่จะถึงนี้หดตัวลง ไปจนถึงไตรมาส 4 แต่ราคาหุ้นที่ลดลงนั้นถือว่ารับรู้ข่าวร้าวไปมากพอสมควร นักลงทุนยังสามารถคาดหวังการปันผลในระดับสูงจากหุ้น STA ได้

1. สัดส่วนรายได้ของ STA มาจากธุรกิจยางพารา 54% ) และธุรกิจถุงมือยาง 46%

2. ไตรมาส 3 ผลประกอบการของ STA จะมีกำไรสุทธิราวๆ 3.2 พันล้านบาทลดลงถึง 36.1% qoq แต่เพิ่มขึ้นถึง 54.5% yoy สาเหตุหลักมาจาก ราคาขายถุงมือยางลดลงประมาณ 30% แต่ปริมาณการขายเพิ่มขึ้น 28%

3. ธุรกิจยางพารา จะโดนกดดันจากราคาขายที่ลดลง ทำให้ประสิทธิภาพของการทำกำไรอ่อนตัวลงตาม อย่างไรก็ตามปริมาณการขายยางพาราเพิ่มขึ้น ... ถือว่าหักล้างกันได้
พูดง่ายๆ คือ ราคาขายลดลงก็จริง แต่ขายได้เยอะขึ้น

4. ผลประกอบการ 9 เดือน จะอยู่ที่ 1.4 หมื่นล้าน เพิ่มขึ้น 2.5 เท่า จากปีที่แล้ว

5. ผลประกอบการไตรมาส 4 ในปีนี้ มองว่าจะใกล้เคียงกับไตรมาส 3 ในปีนี้ โดยพระเอก คือ ธุรกิจยางพาราที่ดีขึ้น ในขณะที่ราคาถุงมือยางมีแนวโน้มอ่อนตัวลง

 

ความเสี่ยงของ STA ที่ต้องติดตาม
>>> ความผันผวนของราคายาง และถุงมือยาง ที่เป็นสินค้าโภคภัณฑ์ หากราคาขายลดลงจะกระทบต่อผลประกอบการของ STA

>>> ความผันผวนของค่าเงินบาท ค่าเงินบาทอ่อนค่า - ส่งออกได้ประโยชน์ ถ้าค่าเงินบาทแข็งค่า - ส่งออกจะเสียประโยชน์

>>> ราคาวัตถุดิบยาง ถ้าราคายางสูงขึ้น ธุรกิจถุงมือยางจะโดนกดดัน


โดยภาพรวมแล้ว ฝ่ายวิจัยมองว่ากำไรสุทธิของ STA ไตรมาส 3 นี้จะอ่อนตัวลงมากถึง 36% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ในปีเดียวกัน แต่เพิ่มขึ้นมากถึง 55% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีที่แล้ว โดยสาเหตุหลักคือ ถุงมือยางขายได้น้อยลงจากสถานการณ์โควิดที่ดีขึ้น ธุรกิจยางพาราอ่อนตัวลง ประสิทธิภาพการทำกำไรลดลง
... อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยเชื่อว่า ในปี 2565 ราคาหุ้นจะยืนในระดับ P/E ที่ 7 เท่า และ P/BV ประมาณ 1 เท่า ในขณะที่ ROE สูงถึง 16% และอัตราการปันผลที่จะได้ราวๆ 6% จึงแนะนำนักลงทุนที่จะมองระยะยาวมากกว่า

------------------------

ขอบคุณแหล่งข้อมูล
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์เอเชียพลัส


ศูนย์รวมความรู้เรื่องหุ้น ศูนย์รวมนักลงทุนรายย่อย ที่อยากรู้วิธีการลงทุนในหุ้นอย่างถูกต้องและได้กำไรอย่างยั่งยืน ติดตามเราได้ที่

www.stock2morrow.com 

FB: stock2morrow 

LINE@stock2morrow

FacebookInstagramYoutubeLine

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง