ในสายตาคนภายนอก ญี่ปุ่นถือว่าเป็นประเทศที่มีการจัดการโควิดได้ "ค่อนข้างดี" แต่สำหรับคนในประเทศเองมองว่านายกญี่ปุ่นคนเก่าอย่าง โยชิฮิเดะ ซูงะ ยังจัดการวิกฤตโควิดไม่ดีพอ อีกทั้งเรื่องของการแข่งขันโอลิมปิก 2020 ที่พึ่งผ่านไปได้ไม่นานกระแสไม่ได้ดีเท่าที่ควร ส่งผลให้ตลาดหุ้นญี่ปุ่นในปี 2020 ไม่ได้ Perform เท่าที่ควร
แต่การที่ไม่โดดเด่นนั่นเอง อาจจะมีอะไรที่น่าสนใจในการเข้าลงทุนก็เป็นได้
ทาง SCB CIO วิเคราะห์ว่าตลาดหุ้นญี่ปุ่น มีโอกาสสร้างผลตอบแทนลงทุนแบบ Trading buy
โดยมองว่าเลือกตั้ง 31 ตุลาคมนี้ พรรค LDP มีแนวโน้มครองเสียงข้างมาก และเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล พร้อมสานต่อนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ
นางสาวเกษรี อายุตตะกะ, CFP® ผู้อำนวยการกลยุทธ์การลงทุน SCB Chief Investment Office ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยถึง มุมมองต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและการลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่นว่า การเลือกตั้งทั่วไปของญี่ปุ่นจะมีขึ้นในวันที่ 31 ต.ค.นี้ หลังนายฟุมิโอะ คิชิดะ หัวหน้าพรรค LDP (Liberal Democratic Party) และนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของญี่ปุ่น ได้ประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร (สภาล่าง) เมื่อวันที่ 14 ต.ค.ที่ผ่านมา
SCB CIO มีมุมมองว่า พรรค LDP ที่นำโดยนายคิชิดะ ยังมีแนวโน้มได้รับเสียงสนับสนุนมากกว่าพรรคฝ่ายค้านในภาพรวม เนื่องจากคะแนนความนิยมของพรรคฝ่ายค้านยังอยู่ในระดับต่ำ และมีความเป็นไปได้สูงที่พรรค LDP จะสามารถได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งสภาล่างและเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ทำให้สามารถสานต่อนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจได้
ประเด็นที่น่าสนใจมีอยู่ 4 ปัจจัยที่น่าจับตามอง คือ
1. ภายหลังเสร็จสิ้นการเลือกตั้ง คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติงบประมาณใช้จ่ายส่วนเพิ่ม สำหรับปีงบประมาณปัจจุบัน (สิ้นสุด เดือนมี.ค. 2022) และอนุมัติงบใช้จ่ายสำหรับปีงบประมาณถัดไป ภายในเดือน ธ.ค.นี้ โดยขนาดของแพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจะอยู่ราวๆ 30 ล้านล้านเยต (คิดเป็น 5.5% ของ GDP ประเทศ)
2. ทางรัฐบาลตั้งเป้าให้เกิดการกระจายรายได้ ความมั่งคั่ง และพยายามลดช่องว่างของรายได้ลง เน้นฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังการระบาด แน่นควาสัมพันธ์ทางการค้าที่ดีกับชาติตะวันตก
3. การที่รัฐบาลตั้งเป้าจะเก็บภาษีส่วนต่างการลงทุน (Capital gain tax) ทาง SCB CIO มองว่าไม่น่าจะปรับขึ้นเร็วๆนี้ จึงไม่น่ากังวล โดยสัดส่วนของความมั่งคั่งของประเทศ ที่ถือโดยผู้มั่งคั่งที่สุด 1% แรกของญี่ปุ่น อยู่ที่ 11% ซึ่งยังถือว่าอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศ OECD 27 ประเทศ และต่ำกว่าสัดส่วนดังกล่าวของสหรัฐฯ ซึ่งอยู่ที่ 42%
4. การเติบโตของเศรษฐกิจญี่ปุ่น ยังไม่อยู่ในระดับที่จะสามารถกระจายรายได้ภายในประเทศได้ ทำให้ทางการญี่ปุ่นจำเป็นที่จะต้องเน้นนโยบายที่จะช่วยหนุนการเติบโตของเศรษฐกิจเป็นอันดับแรก (pro-growth stance) ก่อนที่จะใช้นโยบายกระจายรายได้ ผ่านการปรับขึ้นภาษี โดยในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา real GDP ของญี่ปุ่นขยายตัวได้เพียง 18% ต่ำกว่าของสหรัฐฯ ที่ขยายตัวถึง 50%
SCB CIO มองกลยุทธ์การลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่น ในภาพรวมยังมีความน่าสนใจลงทุนโดยเน้นกลยุทธ์ trading buy จากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของญี่ปุ่น ที่มีแนวโน้มสะท้อนถึงเสถียรภาพทางการเมืองมากขึ้น ตามที่พรรค LDP และพรรคร่วมรัฐบาลยังมีแนวโน้มครองเสียงข้างมากในการเลือกตั้งสภาล่าง จะส่งผลให้การดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจมีความต่อเนื่อง และช่วยหนุนเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นญี่ปุ่น
... โดยหากอิงจากสถิติในอดีตในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา จะพบว่า ตลาดหุ้นญี่ปุ่นสามารถปรับเพิ่มขึ้นได้ดี โดยเฉพาะในช่วงหลังวันเลือกตั้งทั่วไป นอกจากนี้ จะพบว่า ในช่วงไตรมาสที่ 4 ตลาดฯ ยังให้ผลตอบแทนเฉลี่ยค่อนข้างดี อยู่ระหว่าง 6%-15% อีกทั้ง ในปัจจุบัน ตลาดฯ ยังได้รับปัจจัยหนุนเพิ่มเติมจากระดับ Valuation ของตลาดฯ ที่ไม่แพงเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ (ดัชนี TOPIX และ Nikkei 225 เทรด PE อยู่ที่ระดับค่าเฉลี่ย 5 ปี)
ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนญี่ปุ่นในไตรมาสล่าสุดยังมีแนวโน้มออกดีกว่าที่คาด และ EPS growth ของตลาดฯ ทั้งในปีนี้และปีหน้า มีแนวโน้มทยอยถูกปรับเพิ่มขึ้นต่อ นอกจากนี้ เรายังมองตลาดหุ้นญี่ปุ่นยังได้อานิสงค์ต่อเนื่องจากเงินเยนที่มีแนวโน้มอ่อนค่าเทียบดอลลาร์ สรอ. การทยอยฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ และวัฏจักรการลงทุนโลก (global capex cycle) ที่เริ่มฟื้นตัว
โดย SCB CIO ประเมินผลกระทบที่เป็นไปได้จากแนวนโยบายของนายคิชิดะ ต่อหุ้นญี่ปุ่นในรายอุตสาหกรรม พบว่า หุ้นกลุ่มที่เกี่ยวเนื่องกับ digitalization มีแนวโน้มได้ประโยชน์จากข้อเสนอของนายคิชิดะ ที่จะสร้าง digital garden city ในภูมิภาคต่างๆ และหุ้นกลุ่มในธีม infrastructure มีแนวโน้มได้แรงหนุนจากแผนการลงทุน 15 ล้านล้านเยน ตลอดช่วง 5 ปีข้างหน้า เพื่อใช้ในการเตรียมพร้อมรับมือและป้องกันภัยพิบัติทางธรรมชาติต่างๆ สำหรับนโยบายด้านการกระจายรายได้ ซึ่งค่อนข้างเป็นนโยบายระยะยาวมากกว่า อาจช่วยหนุนการบริโภคในประเทศ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อกลุ่มค้าปลีก
ถือเป็นอีกตลาดที่น่าจับตาครับ ....