ถ้าเราเชื่อว่าต่อไปคนไทยจะกดตู้ซื้อน้ำ ซื้อขนม หรือมาม่า มากขึ้นเหมือนญี่ปุ่น (อัตราส่วน 1 เครื่อง ต่อ 23 คน)
SVT ก็ดูจะเป็นหุ้นที่น่าสนใจ แต่ถ้าคิดว่าพฤติกรรมต่างกัน โอกาสในการเติบโตก็อาจจะไม่มากขนาดนั้น
SVT หรือ Sun Vending Technology เดิมชื่อ Sun Color ขายเครื่องเขียน ฟิล์ม เครื่องเสียง แต่ธุรกิจไม่ดีเท่าไหร่ จนมาเมื่อปี 2543 สหพัฒน์ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ ได้ส่งต่อธุรกิจ Vending Machine มาให้ทำต่อ
**Business Model
SVT นำเข้าเครื่องจากญี่ปุ่น ส่วนมากเป็นมือ 2 แล้วเอามาซ่อมแซม ปรับปรุงเครื่อง ติดตั้งระบบ โดยมีโรงงานของตัวเองในการทำหน้าที่นี้ ก่อนที่จะเอาไปติดตั้งตามสถานที่ต่างๆ โดยที่ 70% จะตั้งอยู่ในโรงงาน และเกินครึ่งอยู่จังหวัดระยอง ชลบุรี และอยุธยา แปลว่า ถ้ามีการหยุดงานจาก COVID มีน้ำท่วม หรือเหตุการณ์ที่คนในโรงงานจะทำงานน้อยลงก็จะกระทบยอดขายได้
ตู้แบบนี้ใช้งานได้นาน 20 ปี แต่เพราะเอาเครื่องมือ 2 มาซ่อมแซม ทำให้อายุการใช้งานเหลือประมาณ 8 ปี และบริษัทก็เพิ่งปรับเกณฑ์การตัดค่าเสื่อมใหม่จากที่เคยตัด 5 ปี มาเป็น 8 ปีเมื่อต้นปีนี้เอง ทำให้ค่าใช้จ่ายลดลงไปได้ประมาณ 15% แต่อย่าเพิ่งดีใจไป เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังว่าเพราะอะไร
**รายได้มาจากไหนบ้าง
รายได้มาจาก 3 ทาง คือ ขายของ ขายเครื่อง (ขายขาด) และขายโฆษณา (ลูกค้าที่เคยใช้คือ ICHI, OSP, Nestle, GQ)
98% ของรายได้มาจากการขายของ โดย 80% ของยอดขายมาจากเครื่องดื่ม 11% ขายขนมถุงๆ ซองๆ
และเนื่องจากแม่คือสหพัฒน์ก็จะมีสินค้าในเครือมาขายประมาณ 10%
โดย SVT บอกว่าตั้งเป้าให้ GPM ไม่ต่ำกว่า 30% แต่จุดที่น่าสนใจคือ ขายน้ำ กำไรดีกว่า ขายขนม และกำไรดีกว่าหน้ากากอนามัย นั่นแปลว่า ถ้าปีไหนขายน้ำได้น้อย มาร์จิ้นจะลดลง
>> ตู้มี 4 แบบ คือ Can, Glass, Cup และ Noodle
-- Can & Bottle ตู้ใส่เครื่องดื่มกระป๋องและขวด เช่น น้ำอัดลม น้ำผลไม้ ชาเขียว เครื่องดื่มบำรุงกำลัง มีอยู่ 8,200 ตู้
-- Glass Front แบบเป็นกระจกใสๆ เห็นสินค้าข้างใน ก็จะมีทั้งเครื่องดื่ม และขนมถุงๆ มีอยู่ 2,900 ตู้
-- Cup Hot & Cold ขายเครื่องดื่มชา กาแฟ ใส่ถ้วยทั้งแบบร้อนและเย็น มีน้ำแข็งให้ด้วย มีอยู่ 1,700 ตู้
-- Instant Noodle เรียกง่ายๆ ว่า เครื่องขายมาม่า มีอยู่ 1,100 ตู้
==================
** ตลาดโตมั้ย SVT ใหญ่แค่ไหน
ปี 2561 ตลาดมี 16,000 ตู้ มูลค่า 2,600 ล้านบาท >> เฉลี่ยยอดขาย 445 บาทต่อวันต่อตู้
>> ปี 2562 ตลาดมี 21,000 ตู้ มูลค่า 3,500 ล้านบาท >> เฉลี่ยยอดขาย 457 บาทต่อวันต่อตู้
>> ปี 2563 ตลาดมี 30,000 ตู้ มูลค่า 5,200 ล้านบาท >> เฉลี่ยยอดขาย 475 บาทต่อวันต่อตู้
แต่ถ้ามาดูตัวเลขของ SVT เพื่อเปรียบเทียบกัน
>> ปี 2561 SVT มี 10,277 ตู้ ยอดขาย 1,653 ล้านบาท >> เฉลี่ยยอดขาย 441 บาทต่อวันต่อตู้
>> ปี 2562 SVT มี 11,787 ตู้ ยอดขาย 1,775 ล้านบาท >> เฉลี่ยยอดขาย 413 บาทต่อวันต่อตู้
>> ปี 2563 SVT มี 13,339 ตู้ ยอดขาย 1,726 ล้านบาท >> เฉลี่ยยอดขาย 355 บาทต่อวันต่อตู้
>> 1H’2564 SVT มี 13,884 ตู้ ยอดขาย 961 ล้านบาท >> เฉลี่ยยอดขาย 382 บาทต่อวันต่อตู้
** ถ้าเอาตัวเลขที่ SVT เขียนไว้ใน Filing รายได้เฉลี่ยต่อวันต่อตู้ คือ 454, 440, 374 และ 388 บาท เพราะมีการรวมรายได้อื่นเข้าไป และอาจจะมีการถ่วงน้ำหนักตามวันที่มีการติดตั้งเครื่อง
เราจะพบว่า ภาพตลาดดูมีการเติบโตดี ยอดขายต่อตู้เพิ่มสูงขึ้น แต่ SVT ที่เป็นเบอร์ 1 ด้วย Market Share มากกว่า 40% นั้นกลับโตช้ากว่าตลาด นั่นแปลว่า คู่แข่งเข้ามาตลาดนี้เพิ่มขึ้น และดูเหมือนว่า barrier to entry ไม่มาก ความแตกต่างไม่มี เข้ามาแย่งส่วนแบ่งไป (ยกเว้นว่าจะไปทำแบบตู้เต่าบิน ตู้เติมเงิน)
ผู้เล่นรายอื่นๆ คือ
>> เบอร์ 2 คือ Vending Plus ตู้ที่เขียนว่า 6.11 มี 5,600 ตู้
>> เบอร์ 3 คือ 7-11 มี 2,500 ตู้
** กำไรดีแค่ไหน
>> ปี 2561 SVT มีกำไรสุทธิ 132 ล้านบาท GPM 34.6% NPM 7.8%
>> ปี 2562 SVT มีกำไรสุทธิ 93 ล้านบาท GPM 33.7% NPM 5.2%
>> ปี 2563 SVT มีกำไรสุทธิ 55 ล้านบาท GPM 33.4% NPM 3.1%
>> 1H’2564 SVT มีกำไรสุทธิ 39 ล้านบาท GPM 32.6% NPM 4%
กำไรลดลงทุกปี แต่ถ้ามาดูที่ GPM จะเห็นว่ายืน 32-34% ได้ตลอด เพราะนโยบายบริษัท ขายสินค้าที่มีมาร์จิ้นมากกว่า 30% นั่นแปลว่า ปัญหาอยู่ที่ SG&A ค่าใช้จ่ายบวม
ค่าใช้จ่ายที่เยอะคือ ค่าเสื่อมตู้ ค่าเช่าพื้นที่ ค่าพนักงานเติมสินค้า และค่าที่ปรึกษาเข้าตลาดหุ้น นั่นแปลว่าช่วงนี้ ROA อาจยังไม่คุ้มมากนัก ยิ่งช่วงที่เจอ COVID ปิดโรงงาน ทำให้ตู้ตั้งไว้เฉยๆ ไม่มีคนกด แต่ค่าเสื่อมก็ยังเดินทุกวัน
ถ้าเราลองคิดเล่นๆ รายได้ต่อวันต่อตู้ตีกลมๆ 400 บาท ถ้ากดเครื่องดื่มซักขวดละ 15 บาท เฉลี่ย คือ 27 ขวด หรือ อาจจะแปลได้ว่า วันนึงมีคนมากดตู้ 27 คน ก็ไม่เยอะนะ ถ้าเทียบว่าโรงงานน่าจะมีหลักหลายร้อยคน
=====================
** IPO 200 ล้านหุ้น 2.54 บาท
ได้เงินมา 500 กว่าล้านบาท เอาไปทำอะไรบ้าง
>> 280 ล้านบาท เพิ่มเครื่อง ให้เป็น 20,000 ตู้ ภายในปี 2566 ก็ถือว่าเยอะพอสมควร เพราะปัจจุบันมีเกือบ 14,000 ตู้ ปีนึงเพิ่มประมาณ 1500 ตู้ แปลว่า อีก 2 ปีข้างหน้าจะเพิ่มปีละ 3000 ตู้
>> 210 ล้านบาท พัฒนาระบบและจัดหาอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ ต้องบอกแบบนี้ว่าปัจจุบันมีเครื่อง vending machine ที่บริษัทเรียกว่าแบบ SMART คือ เป็นจอ LCD Touch Screen เช็คข้อมูล real time ยอดขาย สต็อค รองรับการจ่ายเงินแบบ e-payment ได้ และโฆษณาบนจอได้
>> ตอนนี้มีประมาณ 1,600 ตู้ ภายใน 2 ปี จะเพิ่มเป็น 15,000 ตู้ ถามว่าดีมั้ย ดีสิในแง่การใช้งาน และการเช็คยอด แต่ที่ไม่ดีคือ ตู้แบบนี้ซับซ้อนกว่า ค่าใช้จ่ายจะมากกว่า และค่าเสื่อมก็จะสูงกว่าเช่นกัน แปลว่า ที่ขยาย 5 ปี ไป 8 ปี อาจจะไม่พอที่จะชดเชยค่าใช้จ่ายที่มากขึ้น
**Valuation
ราคา IPO ที่กำหนดมา 2.54 บาท คิดเป็น Trailing P/E 28.2 เท่า
แต่ถ้าเราอยากคำนวณเองแบบง่ายๆ คือ ถ้าเรารู้ว่ายอดขายต่อวันต่อตู้เป็นเท่าไหร่ เช่น สมมติ 400 บาท เราก็คูณกับจำนวนวันที่ขายได้ เต็มที่ก็ใส่ไปเลย 365 วัน ในแง่ของกำไรเรารู้แล้วว่า GPM อยู่ 32-34% NPM ล่าสุด 4% ก็ต้องลองดูว่าจะเพิ่มหรือลดกว่านี้มั้ย ปัจจัยที่จะกระทบคือ SG&A ค่าเสื่อม ค่าเช่า ค่าคนนี่แหละ
เสร็จแล้วก็เอามาหารด้วยจำนวนหุ้นทั้งหมด 700 ล้านหุ้น แล้วถ้าเรามองว่า SVT คือค้าปลีกแบบนึง แค่ไม่มีสาขา แต่เป็นตู้แทน จะให้ P/E เท่าไหร่ดี 20 เท่า 25 เท่า หรือจะไปได้ถึง 30 เท่า ก็ลองประเมินออกมาดูครับว่าควรเป็นเท่าไหร่ดี
ใครสนใจ ลองทำการบ้านกันดูครับว่าชอบมั้ย เทรนด์นี้จะมามั้ย แล้วบริษัทจะโตไปได้ดีแค่ไหน