สรุปสาระสำคัญ
- FETCO เชื่อหุ้นไทยเป็นขาขึ้นในไตรมาส 4 ปีนี้
- มองไกลปี 2565 หุ้นไทยมีโอกาสแตะ 1800 จุด จากหลายปัจจัยบวก
- กลุ่มธุรกิจที่น่าสนใจ มากที่สุด คือ กลุ่มพาณิชย์ (COMM) และกลุ่มที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือ กลุ่มแฟชั่น (FASHION)
---------------------------
FETCO เผยดัชนีเชื่อมั่นฯ 3เดือนข้างหน้าลดลงที่142.71 จุด แต่ยังร้อนแรง คาดหุ้นไทย Q4/64 อยู่ในเทรนด์ขาขึ้น จากเปิดเมือง-ฉีดวัคซีนหนุน พร้อมลุ้นฟันด์โฟลว์ไหลเข้าต่อ รับบาทอ่อน-ไร้ปัญหาเงินเฟ้อ ส่วนปี65 คาด SET ไปที่ 1800 จุด
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยภายในงานแถลงข่าว "FETCO ประจำเดือนต.ค.64" ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ผลสำรวจในเดือนก.ย.64 พบว่า “ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า ปรับตัวลดลง 1.1% อยู่ที่ระดับ 142.71 อยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” เช่นเดียวกับเดือนก่อนหน้า โดยนักลงทุนคาดหวังแผนการฉีดวัคซีนเพื่อคลี่คลายสถานการณ์โควิด-19 เป็นปัจจัยหนุนมากที่สุด รองลงมา คือ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ และ เงินทุนไหลเข้า
สำหรับปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ สถานการณ์ระบาดของโควิด-19 ระลอกปัจจุบัน รองลงมา คือ ผลการประชุมอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
ทั้งนี้ ความเชื่อมั่นกลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ยังคงอยู่ในระดับ “ร้อนแรงอย่างมาก” ในขณะที่นักลงทุนบุคคล และ กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศยังคงอยู่ในระดับ “ร้อนแรง” และ นักลงทุนต่างชาติปรับลงมาสู่ในระดับ “ร้อนแรง” เช่นกัน ขณะที่หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดพาณิชย์ (COMM) และหมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดแฟชั่น (FASHION)
ขณะที่แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 4/64 มองว่า ตลาดยังอยู่ในขาขึ้นและยาวไปจนถึงปี 65 เนื่องจากรับอานิสงส์จากมาตรการเปิดประเทศ และ การกระจายการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของภาครัฐ ซึ่งจะทำให้ภาวะเศรษฐกิจเริ่มกลับมาฟื้นตัว โดยประเมินว่า ดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสขึ้นไปแตะระดับ 1,650 จุดในช่วงปลายปี แต่ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยบวกทั้ง 2 เรื่องว่า จะผลักดันเศรษฐกิจดีแค่ไหน
ส่วนดัชนีหุ้นไทยปี 65 นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดจะอยู่ที่ระดับ 1,750 จุด แต่ส่วนตัวประเมินไว้ที่ระดับ 1,800 จุด เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มกลับมา พร้อมวางเป้าจีดีพีปี 65 โตระดับ 3.67% จากปีนี้ที่คาดทำได้ราว 0.68% หลังคาดว่า ปีหน้ามีโอกาสปรับจีดีพีขึ้นมากกว่าลง หากภาครัฐจัดการปัญหาโควิด-19 และ วัคซีนได้ดี
ทางด้านกระแสฟันด์โฟลว์ต่างชาติในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปีนี้คาดว่า จะไหลกลับเข้ามามากกว่าในช่วงเดือนส.ค.และก.ย.ที่ผ่านมา เนื่องจากมองว่า เศรษฐกิจของประเทศไทยยังเติบโตได้ต่ำกว่าศักยภาพจึงทำให้ปัญหาด้านเงินเฟ้อคงจะยังไม่มี และ การขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ประกอบกับ ทิศทางค่าเงินบาทที่ยังอ่อนค่าต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาคการส่งออก รวมถึงตลาดหุ้นไทยยังมีหุ้นที่จะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจำนวนมาก ซึ่งเป็นเป้าหมายนักลงทุนทั่วโลกที่กำลังมองหาหุ้นกลุ่มดังกล่าวอยู่
"ฟันด์โฟลว์ต่างชาติเริ่มไหลเข้ามาตั้งแต่เดือนส.ค. ซึ่งเริ่มเข้ามาซื้อเป็นเดือนแรก และ เดือนก.ย.ที่ผ่านมาก็เพิ่มขึ้น ขณะที่ต้นเดือนต.ค.นี้ก็ซื้อสะสมต่อเนื่อง ซึ่งรวมกันแล้วเกือบ 2 หมื่นล้านบาท จากช่วงแรกที่ไหลออกไปกว่า 1 แสนล้านบาท อย่างไรก็ตามหากทุกอย่างเป็นไปตามแผน คาดว่าจะเห็นเงินไหลกลับเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เพราะนักลงทุนต่างชาติจะดูการฟื้นตัวของตัวเลขนักท่องเที่ยวและภาวะเศรษฐกิจเป็นหลัก" นายไพบูลย์ กล่าว