ดูเหมือนว่าการขาดแคลนพลังงานไฟฟ้าในประเทศจีนจะเป็นปัญหาของประเทศจีนเอง แต่รู้หรือไม่ว่าการขาดแคลนไฟฟ้าของจีน "สะเทือนไปทั่วทั้งโลก" ก็อาจจะไม่ผิดนัก
... การเติบโตอย่างรวดเร็วของประเทศจีน ส่วนหนึ่งมาจากภาคการผลิตที่มากขึ้น ส่งผลให้การใช้ไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมาก แต่รายงานของ Goldman Sarch มองว่าเศรษฐกิจของจีนจะลดความร้อนแรงลงเหลือการเติบโตประมาณ 7.8% จากเดิมที่คาดว่าจะโตได้ประมาณ 8.2% โดยเฉพาะเรื่องของ "วิกฤตพลังงาน" ของประเทศจีนจะขัดขวางกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศอื่นไปทั่วโลก
ทำไมถึงเป็นแบบนั้น ?
ทำไมประเทศจีนถึงขาดแคลนไฟฟ้า ทั้งที่ไม่เคยมีประเด้นมาก่อน ... ?
เราสามารถสรุปออกมาได้เป้น 2 ประเด็น คือ
สาเหตุแรกมาจาก ทางการจีนต้องการลดมลพิษภายในประเทศโดยหวังผลในระยะยาว จึงออกคำสั่งให้ 20 มณฑลของจีนจะถูกตัดไฟบางส่วนเพื่อลดการใช้พลังงาน ลดการใช้พลังงานที่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศในโรงงานไฟฟ้า พร้อมกับขอให้ประชาชนร่วมมือกันลดใช้ไฟฟ้าในยามค่ำคืน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนของประเทศ
... ร่วมถึงการออกคำสั่งเกี่ยวกับการขุดเงินดิจิทัล ธุรกรรมต่างๆเป็นสิ่งผิดกฏหมาย นี้ก็ถือเป็นเรื่องของการลดการใข้พลังงานเช่นเดียวกัน
ตัวอย่างเช่น อีสัน พรีซิชั่น เอ็นจิเนียริ่ง ผู้ผลิตชิพจากจีนที่จะส่งชิพไปให้ Apple และ Tesla บริษัทได้ออกมาประกาศว่าจะระงับการผลิตชั่ววคราวตั้งแต่วันที่ 26 กันยายน - 1 ตุลาคม เพื่อลดการใช้พลังงาน ส่งผลให้ ไอโฟน 13 ขาดตลาด และมีแนวโน้มว่าสถานการณ์นี้จะยังคงอยู่ต่อไปอีก 1 เดือน
สาเหตุที่สอง คือ ราคาถ่านหินที่พุ่งสูงขึ้น ทำให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าสูงขึ้นเช่นเดียวกัน
... รายงานของ Goldman Sarch วิเคราะห์ว่าปัญหาความขัดแย้งระหว่างจีนกับออสเตรเลียที่เป็นผู้นส่งออกถ่านหินรายใหญ่ และมีจีนเป็นลูกค้าที่มีคำสั่งซื้อมหาศาลเกิดข้อพิพาทรุนแรงขึ้น จีนจึงจำกัดการนำเข้า และพยายามจัดหาถ่านหินจากแหล่งอื่นแทน ซึ่งแหล่งอื่นมีราคาต้นทุนสูงกว่าเมืองในออสเตเลีย ทำให้จีนเจอกับสภาวะขาดแคลนถ่านหิน ส่งผลให้การผลิตไฟฟ้าลดลงอีกด้วย
วิกฤตขาดแคลนไฟฟ้าจะส่งผลกันเป็น "ลูกโซ่" ตั้งแต่ผู้ผลิตสินค้า การขนส่ง การส่งออกสินค้าตั้งแต่เสื้อผ้า ของกิน อาหาร ของใช้จำเป็นในชีวิตประจำวัน
... โดยเฉพาะในช่วงนี้ซึ่งใกล้ช่วงวันหยุดปลายปี จะมีความต้องการใช้ "มหาศาล"
ไม่เพียงแค่นั้น การที่จีนขาดการส่งออก ทำให้โลกเผชิญปัญหาในการจัดการสินค้าในสต๊อก ทำให้ของขาดตลาด และอาจทำให้ราคาสินค้าต่าง ๆ พุ่งสูงขึ้น จนเกิดภาวะเงินเฟ้อไดในเวลาต่อมา
ในสถานการณ์ปัจจุบัน รัฐบาลจีนวิเคราะห์ว่าปลายปีจะมีความต้องการใช้เพิ่มขึ้นมากถึง 15% ขณะที่กำลังการผลิตไฟฟ้าของจีนเพิ่มมากได้สูงสุดเพียง 5% เท่านั้น จึงเกิดปัญหาขาดแคลน โดยเฉพาะในฤดูหนาวที่จะมาถึงนี้
ตรงนี้ก็ถือเป็นโจทย์ที่ท้าทายของทางภาครัฐจะว่าดำเนินการต่อไปอย่างไร เพราะประเด็นนี้ไม่ใช่แค่กระทบกับเศรษฐกิจจีนอย่างเดียว แต่กำลังกระทบกับการเติบโตของทั่วโลก ก็ว่าได้