เรียกได้ว่า ไม่เปิดโอกาสให้มีสีเขียวกันเลย ขึ้นไปแตะราคาจอง 2.40 บาท ได้ไม่นาน ช่วงเช้ายังยื้อกันอยู่ในกรอบแถวนี้ แต่พอบ่ายๆ ราคาร่วงตามสายฝนที่ตกหนัก สุดท้ายปิดที่ 2.06 บาท ลดลง 14% จากราคาจอง
ผมสรุปประเด็นสำคัญ 5 ข้อ ให้พิจารณากันแบบนี้ครับ
1. UBE ทำ 3 ธุรกิจ คือ เอทานอล แป้งมันสำปะหลัง และ เกษตรอินทรีย์ มีความผันผวนพอสมควร เพราะว่าวัตถุดิบตั้งต้นคือ มันสำปะหลัง ซึ่งมีผลต่อต้นทุน ส่วนราคาขายเอทานอลนั้นขึ้นกับทั้งมันสำปะหลังและกากน้ำตาล
แต่ก่อนนั้นเอทานอล คือ รายได้หลักมากกว่า 60% แต่ปีนี้แป้งมันสำปะหลังขายดีกว่าแล้ว เหตุผลส่วนนึงก็มาจาก COVID การใช้น้ำมันลดลง เอทานอลลดลงตาม ส่วนแป้งมันส่งออกได้ดี แต่ก็มีผลจาก Pent Up Demand ด้วย
2. เอทานอล รายได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ลูกค้าหลักๆ ก็คือ BCP, OR, TOP, SHELL, ESSO แต่ว่ากำไรผันผวน ตัวอย่างที่เห็นชัดคือ ปี 2562 ขาดทุน เพราะปริมาณอ้อยเยอะ ราคากากน้ำตาลดลลง ราคาขายเลยลดลงตาม ส่วนปี 2564 ที่เห็นว่าเริ่มกลับมาดีขึ้นนั้น เพราะขายเอทานอลเกรดอุตสาหกรรมที่เอามาทำแอลกอฮอล์ช่วง COVID
3. แป้งมันสำปะหลัง คือ อนาคตของบริษัท เติบโตดี และมาร์จิ้นสูง เพราะมาเน้นทางแป้งมันแบบ organic (ข้อดีเช่น Gluten Free) ขายดีในสหรัฐ และยุโรป GPM 20-30% ตอนนี้มีสัดส่วนการขาย 33% เป้าหมายคือ เพิ่มเป็น 80% ในอีก 5 ปี ข้างหน้า แต่ระยะสั้นแป้งมันแบบธรรมดา ที่เรียกว่า Native ยอดขายก็แนวโน้มลดลงเรื่อยๆ ก็ต้องเอามาบวกลบกันด้วย
4. เกษตรอินทรีย์ เพิ่งจะเริ่มต้นด้วยการขายข้าวและกาแฟออร์แกนิค ยอดขายยังไม่เยอะ กำไรยังไม่มาก ระยะสั้นจะมาช่วยไม่ได้มาก แต่ระยะยาวน่าติดตามว่าจะมาช่วยเพิ่มยอดขายและกำไรได้แค่ไหน
ในส่วนนี้ยังมี การขายมันเส้นด้วย ซึ่งปีไหนถ้าขายได้เยอะ ราคาดีก็จะมาช่วยเพิ่มยอดขายได้ แต่ก็จะมีข้อยกเว้นอย่างปี 2562 ที่ต้องเอามันเส้นมาทำเอทานอล แล้วราคาเอทานอลดันลงอีก ทำให้เสียหาย 2 ต่อ ยอดขายมันเส้นหาย รายได้เอทานอลก็ไม่เพิ่มเท่าไหร่
5. กลยุทธ์การเติบโตของ UBE ชัดเจน คือ เติบโตแป้งมัน Organic รักษาฐานเอทานอล และทดลองเกษตรอินทรีย์ นั่นแปลว่า เอทานอล ต้องรอเปิดเมืองเต็มที่รายได้ถึงจะมา หรือรอดูนโยบายภาครัฐว่าจะให้ใช้ E20 เยอะๆ ปีไหน ก็จะได้ประโยชน์ แต่ก็ต้องติดตามเรื่องปริมาณและราคาของทั้งมันสำปะหลังกับอ้อย กากน้ำตาลดีๆ เช่นกัน
ในส่วนของแป้งมันที่สัดส่วนตอนนี้ 50% ของรายได้รวม แนวโน้มดูดี ในส่วนของแป้งมัน Organic โดยเฉพาะที่เรียกว่า แป้งฟลาว และก็เห็นมีทำ Syrup เพิ่มเติมอีก ก็ดูน่าสนใจ แต่อย่างที่บอกรายได้ระยะสั้นก็จะต้องถัวๆ กับ Native ที่ลดลง กำไรก็จะถัวลงมาตาม
=======================================
ผลประกอบการย้อนหลัง
>>> ปี 2561 ยอดขาย 4,796 ล้านบาท กำไรสุทธิ 67 ล้านบาท
>>> ปี 2562 ยอดขาย 4,690 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 42 ล้านบาท
>>> ปี 2563 ยอดขาย 4,434 ล้านบาท กำไรสุทธิ 99 ล้านบาท
>>> 1H’63 ยอดขาย 2,104 ล้านบาท กำไรสุทธิ 72 ล้านบาท
>>> 1H’64 ยอดขาย 2,946 ล้านบาท กำไรสุทธิ 106 ล้านบาท
อัตรากำไร
>>> ปี 2561 GPM 13% NPM 1.4%
>>> ปี 2562 GPM 10.6% NPM -0.9%
>>> ปี 2563 GPM 15.1% NPM 2.2%
>>> 1H’63 GPM 18.3% NPM 3.4%
>>> 1H’64 GPM 16% NPM 3.6%
อีกเรื่องคือ จำนวนหุ้นที่เอามาขายค่อนข้างเยอะ 1174 ล้านหุ้น และผู้ถือหุ้นอย่าง BBGI (BCP+KSL) กับ TET (Thai Oil) เอาหุ้นออกมาขายด้วย จำนวนหุ้นทั้งหมดของ UBE ไม่น้อยเกือบ 3914 ล้านหุ้น
ใครสนใจหุ้น UBE ต้องลองพิจารณาทั้งเรื่องของมันสำปะหลัง กากน้ำตาล ราคาขายเอทานอล และติตตามแนวโน้มแป้งมัน Organic ที่ต้องทำยอดขายให้ได้มากๆ จะได้มาช่วยรายได้และกำไรรวมให้เติบโต และให้พอกับ NPM ที่ไม่สูงมากนัก ลองทำการบ้านกันเพิ่มเติมครับ