#มือใหม่เริ่มลงทุน

ลงทุนใน Index Fund

โดย อธิป กีรติพิชญ์
เผยแพร่:
148 views

1.
รู้หรือไม่ว่า…ตลาดหุ้นทั่วโลก ฟื้นตัวได้ดีไม่เท่ากัน
วิกฤติโควิด-19 ในปี 63 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงอย่างหนัก แล้วจึงทยอยฟื้นตัว แต่เป็นการฟื้นตัวที่ไม่สมดุล “บางประเทศฟื้น บางประเทศฟุบ” คือมีทั้งตลาดหุ้นที่ฟื้นตัวขึ้นจากจุดต่ำสุด จนกลับเข้าสู่สภาวะปกติ แล้วทำจุดสูงสุดใหม่ได้ก่อนเพื่อน ไล่เรียงกันมาเป็นรายประเทศ ตามโอกาสการเปิดเศรษฐกิจเร็วช้า จึงมีภาพการฟื้นตัวที่ต่างกัน

นี่คือยุคสมัย ที่โอกาสการลงทุนกระจายอยู่ทั่วโลก เพราะโอกาสดีๆ ไล่เรียงจากปลายปี 63 ที่ตลาดหุ้นจีน ไต้หวัน เกาหลี สหรัฐอเมริกา แล้วข้ามมาที่ปี 64 ในตลาดหุ้นยุโรป อินเดีย และญี่ปุ่น

ผลตอบแทนของตลาดหุ้นที่แตกต่างกันนี้ ทำให้การลงทุนในต่างประเทศได้รับความน่าสนใจมากขึ้น ใครที่อยากลงทุนหุ้นต่างประเทศ เป็นเจ้าของหุ้นตัวท็อปของแต่ละตลาด แต่ไม่อยากยุ่งยาก มีทางเลือกง่ายๆ โดยลงทุนผ่าน Index Funds    


2.
Index Funds คืออะไร บริหารยังไง ?
Index Funds คือ กองทุนรวมหุ้นที่ลงทุนในหุ้นทุกตัวตามดัชนีตลาดหุ้นต่างๆ ทั่วโลกที่ใช้อ้างอิง

บริหารโดยใช้กลยุทธ์การลงทุนเชิงรับ (Passive Management) โดยผู้จัดการกองทุนจะลงทุนตามหุ้นในดัชนีนั้นๆ ทำให้มีโอกาสได้รับผลตอบแทนใกล้เคียงดัชนีอ้างอิง เช่น กองทุน K-US500X ที่ลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ของอเมริกา 500 ตัว ตามดัชนี S&P500 นั่นเอง

จะดีแค่ไหน หากมี Index Funds ที่ลงทุนตามดัชนีในทวีปหรือประเทศต่างๆ ทั้งอเมริกา ยุโรป จีน ญี่ปุ่น อินเดีย เอเชีย หรือแม้แต่ทั่วโลก นั่นก็จะเป็นโอกาสในการกระจายการลงทุน เลือกสรรได้ทุกตลาดชั้นนำทั่วโลก


3.
Index Funds มีอยู่หลายชนิด โปรดดูอย่างใกล้ชิด
ขึ้นชื่อว่า “กองทุนรวม” ก็ต้องคำนึงถึงประเภทของสินทรัพย์ที่กองทุนนำเงินไปลงทุน หรือที่นักลงทุนมักจะเรียกว่า “ไส้ในของกอง”  
Index Funds ลงทุนในหุ้นที่ลิสต์อยู่ในดัชนีประเทศต่างๆ  ดังนั้นเราก็ควรรู้จักดัชนีตลาดหุ้นอ้างอิงที่น่าสนใจ ได้แก่
>>>  S&P 500 : หุ้น 500 ตัว ที่มีมูลค่าตลาดใหญ่ที่สุดใน New York Stock Exchange และ NASDAQ
>>> NASDAQ 100 : หุ้นเทคโนโลยี 100 ตัว ที่มีมูลค่าตลาดใหญ่ที่สุด ในตลาดหุ้น NASDAQ
>>> FTSE China A50 : หุ้น 50 ตัว ที่มีมูลค่าตลาดใหญ่ที่สุด ในตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้น
>>> MSCI ACWI : หุ้นขนาดกลางและใหญ่ จาก 23 ประเทศพัฒนาแล้ว และ 27 ประเทศตลาดเกิดใหม่


4.
Index Funds เหมาะกับใคร?
นักลงทุนสายสร้างพอร์ต ทั้งมือใหม่และมือเก๋า กองทุน Index Funds เป็นกองทุนที่ควรมีติดพอร์ตไว้ เพราะลงทุนในหุ้นมูลค่าตลาดใหญ่ที่สุดของแต่ละดัชนี ผลตอบแทนเป็นไปตามการปรับตัวของดัชนีตลาดนั้นๆ ค่าธรรมเนียมบริหารจัดการถูกกว่าเพราะเป็นกองทุนที่บริหารแบบ Passive หากถือยาวๆ จะมีโอกาสทำกำไรได้สูง

นักลงทุนสายเทรดกองทุนเพื่อทำกำไร ชอบหาจังหวะซื้อขายทำกำไรตามการเคลื่อนไหวของดัชนีอ้างอิง ผ่านการลงทุนใน Index Funds
>>> อาศัยประสบการณ์และความชำนาญในการคาดการณ์ตลาดในภาพใหญ่ ทำให้จับจังหวะการลงทุนซื้อ-ขายได้ง่ายและใช้เงินลงทุนน้อยกว่าการเทรดหุ้นเป็นรายตัว ที่มีปัจจัยยิบย่อยเฉพาะตัวมากมาย

>>> ตัวอย่างเช่น ถ้าเห็นว่าตลาดหุ้นประเทศหนึ่งกำลังปรับฐานหนักจากปัจจัยกระทบชั่วคราว ร่วงลงทั้งตลาด แต่มั่นใจว่าสามารถกลับมาได้ แถมยังมีอนาคตและศักยภาพที่จะเติบโตต่อไป ก็สามารถเข้าซื้อกองทุน Index Funds ของตลาดหุ้นนั้น เพื่อรอจังหวะฟื้นตัวกลับมาเพื่อขายทำกำไร


5.
Index Funds ดียังไง?
สะดวก : ซื้อกองทุนเดียวก็ได้หุ้นตัวท็อป ที่เป็นหุ้นขนาดใหญ่มีมูลค่าตลาดสูงสุดของดัชนีตลาดหุ้นนั้นๆ ซึ่งมักจะเป็นหุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานดี เป็นบริษัทที่โดดเด่น มั่นคง และมีโอกาสเติบโต

ค่าธรรมเนียมถูกกว่า : ค่าบริหารจัดการถูกกว่า เพราะมีนโยบายการลงทุนตามแบบดัชนี เหมาะกับนักลงทุนสายเทรดกองทุน ได้ต้นทุนที่ถูกกว่า เพื่อโอกาสเทรดทำกำไรได้มากกว่า

หลากหลาย : เลือกประเทศหรือทวีปในการลงทุนได้ทั่วโลก คว้าโอกาสตามวงจรการเติบโตของแต่ละประเทศได้ โดยไม่จำกัดไว้ที่ตลาดหุ้นใดแห่งเดียว

กระจายความเสี่ยง : ช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนในหุ้นรายตัวลง เนื่องจาก Index Funds ลงทุนในหุ้นหลายตัวเพื่อให้ใกล้เคียงกับดัชนี จึงช่วยกระจายความเสี่ยงในการลงทุนในต่างกลุ่มอุตสาหกรรมไปในตัว ซื้อกองทุนเดียวจึงได้หุ้นตัวท็อปของดัชนีตลาดนั้นๆ


6.
โลกนี้กว้างใหญ่ อย่าใส่ไข่ในตระกร้าใบเดียว
แม้การลงทุนในตลาดหุ้นไทย อนาคตจะเริ่มฟื้นตัวได้แบบค่อยเป็นค่อยไป  แต่การกระจายการลงทุนไปหลายๆประเทศยิ่งดีกว่า ยุคนี้ โลกของการลงทุนกำลังเปลี่ยนไป ถ้าเราจำกัดการลงทุนอยู่ในประเทศไทยเพียงอย่างเดียว ไม่เหลียวแลตลาดอื่น ก็อาจเป็นการปิดกั้นตัวเองเกินไป หลายปีมานี้ มีตลาดหุ้นต่างประเทศที่ผลงานดี รอเราอยู่หลายแห่งบนโลกใบนี้

ในปี 63 ที่ผ่านมาทั้งสหรัฐอเมริกาและยุโรป ต่างก็ใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงิน ที่เรียกว่าการทำ QE(Quantitative Easing)  หรือ การซื้อสินทรัพย์ เช่น พันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้ เพื่อให้ระบบมีเงินหมุนเวียนมากขึ้น ไว้อัดฉีดสู้กับวิกฤตโควิด ซึ่งบางสำนักถึงกับเรียกว่า “นโยบายพิมพ์เงิน”  พร้อมกันกับการออกนโยบายดอกเบี้ยต่ำ ทำให้ตลาดหุ้นในประเทศพัฒนาแล้วเกิดสภาวะ “ดอกเบี้ยต่ำ สภาพคล่องสูง” ส่งผลให้ช่วงหลังโควิด เศรษฐกิจภาพรวมในประเทศเหล่านี้ ฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่งและรวดเร็ว ดูได้จากปริมาณความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์ สินค้าฟุ่มเฟือย อิเลคทรอนิคส์ เทคโนโลยี ฯลฯ ตลาดหุ้นประเทศเหล่านี้ ก็เติบโตอย่างก้าวกระโดดตั้งแต่ปลายปีที่แล้วกลับไปที่จุด Pre-COVID และสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้ เกิดโอกาสการลงทุนในรอบใหญ่ กับตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ยุโรป รวมทั้งประเทศส่งออกอย่าง จีน เกาหลีใต้ ไต้หวัน

ในช่วงที่เหลือของปี 64 ประเด็นหลักที่ตลาดยังคงจับตามองคือ การลดขนาดการอัดฉีดลง หรือ QE Tapering หมายความว่า นโยบายยังเป็นการอัดฉีดต่อไปด้วยปริมาณเงินที่ลดลง และมีสัญญาณว่าการทำ QE Tapering จะเริ่มขึ้นในปลายปี 64 นี้ ซึ่งถือว่าสหรัฐยังคงใช้นโยบายการเงินที่ค่อนข้างผ่อนคลายต่อไปและมีการสื่อสารอย่างสม่ำเสมอกับตลาดทุน ซึ่งเมื่อรับรู้ข่าวสารทั้งหมดของการทำ QE Tapering แล้ว เงินก็จะวิ่งเข้าหาสินทรัพย์เสี่ยงอีกครั้ง

ปลายปีนี้ คาดว่าโอกาสยังอยู่ในฝั่งตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้ว เนื่องจากมีความสามารถในการบริหารจัดการโควิด 19 ได้ดี มีอัตราการฉีดวัคซีนสูง และมีนโยบายการเปิดเมืองที่ชัดเจน ทำให้เศรษฐกิจกลับคืนสู่ภาวะปกติได้เร็ว รวมทั้งมีโอกาสการฟื้นตัวของตลาดหุ้นจีน ที่มีการปรับฐานไปพอสมควรในช่วงกลางปี

ในขณะที่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยยังต้องพิจาณาอย่างรอบคอบ คาดว่า FED มีแนวโน้มจะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ใน 1 ปีข้างหน้า แต่ก็ยังเป็นอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำอยู่ดี ดังนั้น นโยบายโดยรวม ยังคงเอื้อต่อการลงทุนในตลาดหุ้นซึ่งให้ผลตอบแทนได้ดีกว่าสินทรัพย์อื่น โดยเฉพาะในตลาดประเทศพัฒนาแล้วที่กำลังฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง แค่เปิดโอกาสให้ตัวเองจะพบว่ามีโอกาสการลงทุนทั่วโลกอีกมากมายรอเราอยู่


7.
ตัวอย่างกองทุน Index Funds จาก KAsset ที่น่าสนใจ มีอะไรบ้างไปดูกัน
พื้นฐานของ Index Funds คือ ไส้ในกองทุนที่ประกอบด้วยหุ้นในดัชนีประเทศต่างๆ กองทุนที่ดี ต้องประกอบไปด้วยหุ้นที่ดี แข็งแกร่ง มั่นคง และมีการเติบโต จะมีบริษัทอะไรกันบ้าง มาลองแกะไส้กองทุนกับ 3 Index Funds ที่น่าสนใจ ดังนี้

[1] K-US500X
ลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ของอเมริกา 500 ตัว ตามดัชนี S&P500 ซึ่งมีความมั่นคงสูง เป็นพื้นฐานของเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโลก สามารถเติบโตได้อย่างมั่นคง โดยในช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา สามารถทำ New High ได้  หุ้นที่น่าสนใจในกองทุนนี้ เช่น APPLE, MICROSOFT, TESLA, BERKSHIRE HATHAWAY, JOHNSON & JOHNSON

[2] K-CHX
กองทุนนี้ลงทุนหุ้นจีน A Share 50 ตัว ตามดัชนี FTSE China A50 หุ้นจีนเป็นเทรนด์การลงทุนที่ไม่ควรพลาดในตอนนี้ เนื่องจากเป็นเศรษฐกิจที่โตแรง น่าจับตามอง อีกทั้งตลาดหุ้นจีนตอนนี้กำลังปรับฐานลงมามากจากต้นปี มีความน่าสนใจในเชิงมูลค่า มีโอกาสเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด
หุ้นที่น่าสนใจในกองทุนนี้ หลายชื่ออาจจะไม่คุ้น แต่พอดูว่าแต่ละบริษัททำอะไรแล้ว บอกเลยว่าน่าสนใจมาก เช่น KWEICHOW MOUTAI ผู้ผลิตเหล้าขาวพรีเมี่ยมอันดับหนึ่งของจีน,  PING AN INSURANCE GROUP บริษัทประกันที่ใหญ่ที่สุดในจีน, CHINA MERCHANTS BANK ธนาคารพาณิชย์ชั้นนำของจีนที่มี Return on Equity มากกว่า 20% ต่อปี ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา, WULIANGYE YIBIN ผู้ผลิตเหล้าขาวพรีเมี่ยมอันดับต้นๆ ของจีน, JIANGSU HENGRUI MEDICINE บริษัทผู้ผลิตยาทั่วไปและยาชีวภาพ (Biotechnology) ที่ถูกขนานนามว่าเป็น Pfizer หรือ Roche ของเมืองจีน

[3] K-WORLDX
ภาพรวมเศรษฐกิจโลกในตอนนี้กำลังฟื้นตัว จากการที่หลายประเทศระดมฉีดวัคซีน เพื่อให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาดำเนินต่อได้ ซึ่งกองทุน K-WORLDX ลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ทั่วโลกกว่า 2,000 ตัว ตามดัชนี MSCI ACWI ในหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งเทคโนโลยี การเงิน และการบริโภค โดยมีหุ้นจากประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งมีจุดเด่นที่ความมั่นคง มีปัจจัยพื้นฐานดี และหุ้นจากประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งมีจุดเด่นที่โอกาสการเติบโต หุ้นที่น่าสนใจในกองทุนนี้ เช่น Apple, Microsoft, TSMC, Tesla, JPMorgan Chase & Co เหมาะสำหรับคนที่อยากลงทุนหุ้นทั่วโลก มีโอกาสรับผลตอบแทนเกาะไปกับการเติบโตของหุ้นโลกได้ในกองทุนเดียว


นอกจาก 3 กองทุนนี้ KAsset ยังมี Index Funds อื่นๆ ที่น่าสนใจ โดยมีมากที่สุดถึง 12 กองทุนใน 8 ตลาดหุ้น จาก 3 ทวีปทั่วโลก ให้เลือกลงทุนตามความสนใจ


เจ้าของหนังสือ Best Seller “ติวหุ้น รวยด้วยวีไอ” และยังเป็นวิทยากรคอร์ส “ลงทุนแนวปัจจัยพื้นฐานแบบ Value/Growth Investor” ด้วยประสบการณ์ในตลาดทุนกว่า 17 ปี และประสบการณ์ในการเป็นติวเตอร์ บวกกับความเป็นคนอารมณ์ขัน  ทำให้คุณนิ้วโป้งสามารถถ่ายทอดเรื่องยาก อย่างการลงทุน ให้เข้าใจได้ง่าย และยังใช้ภาษา ลีลาที่มีเอกลักษณ์น่าสนใจอย่างยิ่ง จึงทำให้ได้รับเชิญไปบรรยายในงานต่างๆ มากมาย

Facebook

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง