ดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงปลายเดือนสิงหาคมถึงต้นเดือนกันยายน 2564 ที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นได้อย่างน่าประหลาดใจ เกินคาดหักปากกาเซียนมาก SET ปรับตัวขึ้นทั้งๆที่ระดับการติดเชื้อโควิดยังอยู่ที่ระดับมากกว่า 20,000 รายต่อวัน ในขณะที่อัตราการเสียชีวิตก็มากกว่า 200 รายต่อวัน
อย่างไรก็ตามตัวเลขที่ทำให้ภาพรวมของสถานการณ์โควิดประเทศไทยดูดีขึ้น คืออัตราการฉีดวัคซีนที่เพิ่มขึ้นในอัตราเร่ง ในขณะที่ภาพความขาดแคลน การยกเลิกคิวฉีดหรือแย่งกันไปฉีดตามสถานที่ต่างๆเริ่มลดลงอย่างเห็นได้ชัด และนำมาสู่การตัดสินใจกลับมาเปิดเมืองตั้งแต่วันที่ 1 กันยายนที่ผ่านมา
ย้อนกลับไปในช่วงกลางเดือนสิงหาคม ที่มีความไม่แน่นอนสูง แรงขายมีมากกว่าแรงซื้อและความคาดหวังถึงการปิดเมือง(Lockdown)ทั้งไตรมาสสาม ส่งผลให้เป้าดัชนี SET ที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ให้ไว้ จึงมีมุมมองต่อเป้าดัชนีปีนี้ไม่สูง มีคำแนะนำให้ผู้ที่รอจังหวะกลับเข้ามาลงทุนให้ตั้งรับที่ระดับ 1480
...แต่ SET ก็มิได้ย่อลงไปถึง แต่กลับเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆนับจากกลางเดือนสิงหาคม สู่ระดับ 1650 จุดในช่วงต้นสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนกันยายน
ณ. จุดนี้ ถือว่าเรากำลัง “ลงทุนบนที่สูง” เพราะดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ระดับ 1650 จุด ต้องยอมรับว่า ในภาพรวมสำหรับพื้นฐานบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ในปี 2564 จัดว่า “แอบแพง” หรืออย่างน้อยก็ “ไม่ถูก” เพราะดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เทียบกับค่า PE ตลาด 21 เท่า อัตราการจ่ายปันผลโดยรวมของตลาดประมาณ 2% (ข้อมูลณ.วันที่ 8 ก.ย.)
ในขณะที่ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนประจำไตรมาส 3 ปี 2564 นี้จะออกมาไม่ดี เพราะมีการปิดเมืองถึง 2 ใน 3 เดือน ทำให้ค่า PE ของตลาดหุ้นไทยในช่วงเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน จะดูแพงขึ้นไปอีก
อย่างไรก็ตาม ด้วยสภาพคล่องที่ล้นระบบและอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำทำให้นักลงทุนยังกล้าที่จะมองข้ามช้อต มองการลงทุนไปที่พื้นฐานของสิ้นปีหรือข้ามไปปีหน้า ดังคำกล่าวที่ว่า “ลงทุนในตลาดหุ้นเหมือนการขับรถ มองไปที่กระจกหน้ามากกว่ากระจกหลัง ให้น้ำหนักภาพล่วงหน้า 6-12 เดือน มากกว่าภาพอดีตที่เกิดขึ้นไปแล้ว”
ณ.จุดนี้ สิ่งที่นักลงทุนรายย่อยจำเป็นต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วนคือ เราไม่สามารถลงทุนแบบหว่านแห จิ้มซื้อหุ้นตัวไหนก็ได้กำไรง่ายๆแบบช่วงกลางปี 63 หรือแม้แต่ การเลือกซื้อกองทุนอิงดัชนี SET50 ทั้งตะกร้า แล้วหวังว่าจะได้ผลตอบแทนที่ยอดเยี่ยมได้แบบเดิมอีกต่อไป
เพราะระดับดัชนีปัจจุบันไม่ถูก หากนับตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมา ตลาดหุ้นไทยในปี 2564 ปรับตัวสูงขึ้นมาแล้ว 13.7% (ข้อมูลวันที่ 8 กันยายน)
ผมมีความเห็นว่า หน้าที่ที่สำคัญที่สุดของนักลงทุนสายปัจจัยพื้นฐานในขณะนี้ คือการทำ Stock Selection เพื่อเลือกหุ้นที่เป็น Good Stock at Good Price (หุ้นดีที่ราคาดีด้วย) และถ้าจะให้ดีมีความปลอดภัยสูงขึ้น คือกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ Big Cap ที่มีความแข็งแกร่งและสามารถกลับมาได้ในโลกหลังโควิด ที่ยังมีราคา Laggard (ราคาล้าหลัง) คนอื่นขึ้นแต่ตัวมันไม่ขึ้น คือเป้าหมายสำคัญในการทำ Stock Selection นั่นเอง
โอกาสในตลาดหุ้นมีอยู่เสมอ ในภาวะที่ดัชนี SET ปรับตัวขึ้นมาแรงเร็วๆแบบนี้ การทำ "Stock Selection" เป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นต่อการลงทุนครับ