ดูเหมือนว่าวิกฤตโควิดในแง่ของเศรษฐกิจและตลาดทุน น่าจะผ่าน "จุดที่แย่ที่สุด" ไปแล้ว หลังจากนี้น่าจะเป็นจุดเริ่มของการฟื้นตัวต่อไปได้เรื่อยๆ และจะเห็นได้ชัดของการฟื้นตัวในช่วงไตรมาส 1 ของปีหน้า
... ลองเปิดอ่านบทวิเคราะห์ของหลายโบรกเกอร์ ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวว่าในการปรับกลยุทธ์หุ้น ควรใช้กลยุทธ์ของธีมที่เรียกว่า 3R อันประกอบไปด้วย
1. Re-Start หรือธุรกิจกลับมาเริ่มใหม่ เริ่มหมุน เปิดกิจการกันอีกครั้ง
มีการศึกษาวิจัยพบว่า การคลายล๊อคดาวน์ในเดือนกันยายน ช่วง 3 เดือนแรกมีแนวโน้มจะเกิด Pent up Demand หรือความต้องการซื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากการที่ผู้บริโภคต้องการจับจ่ายใช้สอยหลังจากที่ผู้บริโภคหยุดหรือลดการใช้จ่ายในช่วงก่อนหน้าจากเหตุการณ์บางอย่าง การที่ผู้บริโภคกลับมาจับจ่ายใช้สอยจึงทำให้เกิด Pent Up Demand ที่การใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมากจนผิดปกติเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า
ซึ่งส่งผลให้ธุรกิจประเภทร้านอาหาร สินค้าจำเป็น สินค้าฟุ่มเฟื่อย มีการจับจ่ายใช้สอยกันมาก ...
2. Re-Opening หรือธีมเปิดประเทศ
การเร่งฉีดวัคซีนเพื่อเรียกความมั่นใจในการท่องเที่ยวไทย ทำให้อุตสาหกรรมนี้จะกลับมาได้ในที่สุด อย่างของไทยมี Phuket Sandbox ที่เปิดไปตอนเดือนกรกฏาคม 2564 และรัฐบาลตั้งเป้าจะเปิดตัว Bangkok Sandbox ในวันที่ 15 ตุลาคมนี้อีกด้วย จะส่งผลให้ Demand เรื่องของการท่องเที่ยวจะดีขึ้นมากโดยเฉพาะกลุ่มท่องเที่ยว กลุ่มโรงแรม และโรงพยาบาล จะได้รับประโยชน์จากธีมนี้
3. Rebound in laggard หรือธีมหุ้นขึ้นช้าจะเด้งกลับ
ช่วงที่ตลาดวิ่งขึ้นจากการฟื้นตัว หุ้นกลุ่มที่เล่นไปแล้วหรือขึ้นไปแล้วจะโดนเทขายลงมา นักลงทุนจะมองหาหุ้นที่ "ขึ้นช้า" กว่าตลาดหรือที่เรียกว่า laggard นั้นเอง
โดยจากการเคลื่อนไหวของหุ้นไทยปีนี้ SET Index ให้ผลตอบแทน +12% ในขณะที่กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ขึ้นได้เพียง 7% เท่านั้นด และทั้งกลุ่มมี PE Ratio เพียง 8.9 เท่า
นี้ก็ถือเป็นกลยุทธ์หุ้นแบบ 3R ที่นักลงทุนต้องกลับไปทำการบ้านต่อว่ามีหุ้นตัวไหนที่น่าสนใจบ้าง ...