ดูเหมือนว่าปัญหาของ Evergrande Group บริษัทอสังหาใหญ่สุดในจีนที่กำลังเจอปัญหาอยู่นั้นจะส่งผล "เชิงลบ" ต่อบรรยากาศการลงทุนในหุ้นไทยด้วยเหมือนกัน โดยเฉพาะกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่อาจจะลามมาเป็นลูกโซ่ได้
บริษัท Evergrande ก่อตั้งขึ้นในปี 2539 และจดทะเบียนเป็นมหาชนในตลาดหุ้นฮ่องกงปี 2552
โครงสร้างธุรกิจหลักๆ คือ เป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เมื่อมีขนาดใหญ่ขึ้นจึงไปลงทุนไปยังอีกหลายธุรกิจ เช่น
>> รถยนต์ไฟฟ้า ในชื่อ Evergrande New Energy Auto
>> ธุรกิจอินเทอร์เน็ตและสื่อ ในชื่อ HengTen Networks
>> เจ้าของสโมสรฟุตบอล Guangzhou FC
>> ธุรกิจอาหาร เครื่องดื่ม และน้ำแร่ ในชื่อ Evergrande Spring
... นอกจากนี้ยังมีธุรกิจโรงพยาบาล ธุรกิจบันเทิงไปจนถึงธุึรกิจการเงิน
ซึ่งเงินทุนส่วนใหญ่มาจากการกู้ยืมอย่างหนักส่งผลให้ Evergrande มีหนี้สินมากถึง 10 ล้านล้านบาท
การกระจายความเสี่ยงไปหลายธุรกิจ ก็อาจจะประสบปัญหาได้เหมือนกัน
ตลาดอสังหาริมทรัพย์จีนที่เคยโตเร็วระดับหนึ่งพอเข้าสู่ปี 2558 กลับชะลอตัวลงอย่างหนัก และยังเจอกับวิกฤตโควิด-19 ที่คนส่วนใหญ่ใช้จ่ายอย่างประหยัด ไม่ซื้ออสังหาริมทรัพย์ใหม่ ทำให้บริษัทมีปัญหาทางด้านสภาพคล่อง หมุนเงินมาจ่ายหนี้ไม่ทัน
... เฉพาะดอกเบี้ยอย่างเดียวในปี 2559-2561 อยู่ราวๆ 5-7 พันล้านบาทต่อปี และในปี 2562 ก็ขยับขึ้นไปสูงถึง 1.7 หมื่นล้านต่อปี
เมื่อพิจารณาจาก อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนจะสูงมากถึง 205 เท่า (D/E Ratio)
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ของฮ่องกง มองว่าทางเดียวที่ Evergrande จะรอดพ้นได้ คือการเข้ามาช่วยเหลือจากรัฐบาลจีน เพราะถ้าไม่อย่างนัน Evergrande จะต้องประกาศล้มละลายด้วยความเสียหายมากถึง 10 ล้านล้านบาท (ขนาดของตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 16 ล้านล้านบาท) จะส่งผลกระทบเป็นวงกว้างและจะร้ายแรงจนกลายเป็นวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในประเทศจีนเลยทีเดียว
ประเด็นสำคัญ คือ วิกฤต Evergrande จะกระทบต่อตลาดหุ้นไทย และหุ้นอสังหาริมทรัพย์บ้างไหม
บทวิจัยของ บล.เอเชียพลัส มองถึง 2 ประเด็นด้วยกัน คือ
1 .เหมือนวิกฤตสินเชื่อ Subprime ในสหรัฐปี 2561 ไหม ?
ฝ่ายวิจัยมองว่า Evergrande เป็นปัญหาของบริษัทที่มีการชำระหนี้แบบเฉพาะเจาะจง ซึ่งคาดว่าจุดจบของเรื่องนี้ คือ การเข้ามาช่วยเหลือของรัฐบาลจีน
ซึ่งแตกต่างจากวิกฤต Subprime ของอเมริกาอยู่มาก เพราะเป็นการขายหนี้เสียให้กับสถาบันการเงินหลายแห่งและมีความซับซ้อนในเชิงโครงสร้างกว่ามาก
ดังนั้นมองว่า ไม่เหมือนกับวิกฤตสินเชื่อ Subprime นั้นเองครับ ...
2. ผลกระทบตอ่อตลาดหุ้นไทย
ฝ่ายวิจัยมองว่า "ไม่กระทบ" กับอสังหาริมทรัพย์ในไทย จาก 2 เหตุผด้วยกัน คือ
2.1 บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในไทย มีการชะลอการลงทุนมาตั้งแต่ปี 2561 เนื่องจากมาตรการของ LTV ของ ธปท. ไม่ได้เติบโตอย่างรุนแรงมาก่อน
2.2 ฐานะทางการเงินของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในไทย "แข็งแกร่ง" สะท้อน
จาก Net gearing ของกลุ่มอุตสาหกรรม property 5 ปี ย้อนหลังที่ผ่านมา
อยู่ไม่เกิน 1 เท่า ในขณะที่ตอนเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง บริษัทมี Net gearing สูงราวๆ 10 เท่า
ดังนั้นฝ่ายวิจัยของ บล.เอเชียพลัส วิเคราะห์ว่าปัญหาของ Evergrande จะไม่ขยายวงกว้าง และส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยไม่มาก