กระแสมาแรงกับ Digital Asset หรือที่นักลงทุนชาวไทยมสักจะเรียกว่า สินทรัพย์ดิจิทัล ...
ได้รับความนิยมและมีผู้ที่สนใจเข้าไปลงทุนเป็นอย่างมาก เพราะมีความเชื่อว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนได้สูง ในเวลาอันรวดเร็ว แต่เนื่องจากเป็นสินทรัพย์เพื่อการลงทุนเรื่องใหม่ ทำให้ต้องทำความเข้าใจให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน
จริงแล้วๆสินทรัพย์ดิจิตอล เรามักจะเข้าใจว่ามันต้องเป็น Cryptocurrency หรือเงินดิจิทัลเพียงอย่างเดียว แต่ไม่ใช่แบบนั้น เพราะมันยังหมายถึงสินทรัพย์ที่เป็นผลิตภัณฑ์และบริการดิจิทัลอื่นๆ อีกด้วย
ในประเทศไทยที่คนไทยมักจะรู้จักแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1. คริปโทเคอร์เรนซี
เป็นหน่วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้า บริการ สินทรัพย์ดิจิทัลอื่นหรือสิทธิอื่นใด โดยสามารถใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการได้หากผู้ใช้ยอมรับ ปัจจุบันคริปโทเคอร์เรนซียังไม่ใช่เงินที่ธนาคารกลางใดในโลกรับรองว่าสามารถใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย (Legal Tender) โดยคริปโทเคอร์เรนซีที่คนไทยคุ้นเคยกันดี ได้แก่ บิทคอยน์ (Bitcoin) และอีเธอร์เลียม (Ethereum) ซึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้เงินดิจิทัลทั้ง 2 ได้รับความนิยม เพราะว่านักลงทุนสามารถใช้เงินลงทุนจำนวนน้อย มีระบบ ขั้นตอนการซื้อขายที่เข้าใจง่ายขณะเดียวกันร้านค้าบางร้านยอมรับให้สามารถนำมาซื้อสินค้าแทนเงินสดได้
2. โทเคนดิจิทัล
หน่วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่สร้างขึ้นเพื่อกำหนดสิทธิของบุคคลในการร่วมลงทุน (Investment Token) หรือสิทธิในการได้มาซึ่งสินค้าและบริการหรือสิทธิอื่นๆ (Utility Token) ตามที่ได้ตกลงกับผู้ออกโทเคน ซึ่งอาจเสนอขายโทเคนผ่านกระบวนการ Initial Coin Offering (ICO)
การระดมทุนแบบ ICO เป็นการระดมทุนรูปแบบหนึ่งที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนเข้ามาช่วย โดยบริษัทจะเสนอและกำหนดขายโทเคนที่กำหนดสิทธิหรือผลประโยชน์ต่างๆ ของนักลงทุน เช่น ส่วนแบ่งกำไรจากโครงการหรือสิทธิในการได้มาซึ่งสินค้าหรือบริการที่เฉพาะเจาะจงและกำหนดให้นักลงทุนที่ต้องการจะร่วมลงทุนสามารถเข้าร่วมได้ โดยการนำคริปโทเคอร์เรนซีหรือเงิน มาแลกโทเคนที่บริษัทออก โดยมีการกำหนดและบังคับสิทธิที่จะได้รับด้วย Smart Contract (สัญญาอัจฉริยะ) บนเทคโนโลยีบล็อกเชน
ICO อาจไม่ใช่หุ้นและไม่ใช่หนี้ ถึงแม้ ICO จะมีชื่อคล้ายกับการออกและเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไป (Initial Public Offering : IPO) แต่อาจมีสาระสำคัญที่แตกต่างกันมาก โดยผู้ถือโทเคนจากการลงทุนใน ICO อาจไม่ได้เป็นเจ้าของบริษัทเหมือนผู้ถือหุ้น IPO และอาจไม่ได้มีฐานะเป็นเจ้าหนี้ของบริษัท อาจไม่มีสิทธิในทรัพย์สินของบริษัท กรณีเลิกกิจการหรือล้มละลาย แต่ผู้ถือโทเคนจะมีสิทธิตามที่ระบุในเอกสารประกอบการเสนอขาย (White Paper)
แล้วถ้าเราสนใจลงทุนต้องทำอย่างไร ?
อันดับแรกคือ ศึกษาให้ละเอียดถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจ ที่สำคัญต้องลงทุนกับศูนย์ซื้อขาย (Digital Asset Exchange), นายหน้า (Digital Asset Broker) และผู้ค้าสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Dealer) ที่ได้รับอนุญาตจากสำนักงาน ก.ล.ต. เท่านั้น
... ซึ่งเราสามารถตรวจสอบรายชื่อได้จาก ที่นี้เลยครับ www.sec.or.th/mpublish/digitalasset/digitalasset.html
หากลงทุนคริปโทเคอร์เรนซีกับบริษัทที่ได้รับอนุญาต จะมีความมั่นใจได้ว่าจะได้รับการบริการที่มีมาตรฐาน และลดความเสี่ยงจากการถูกหลอกให้ลงทุน (Scam) เช่นกันหากลงทุนในโทเคนกับบริษัทที่ได้รับอนุญาต จะมีความมั่นใจได้ว่าสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) ผ่านการตรวจสอบโดย ICO Portal ว่าตรงกับ White Paper และลดความเสี่ยงจากการถูกหลอกได้
แต่ถ้านักลงทุนถูกชักชวนให้ไปลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลจากบริษัทที่ไม่ได้รับอนุญาตจาก สำนักงาน ก.ล.ต. หากได้รับความเสียหาย จะไม่ได้รับความคุ้มครองไม่ว่ากรณีใดๆ ทั้งสิ้น
สำหรับวิธีการดูว่าบริษัทนั้นมีมาตรฐานหรือไม่ ควรดูว่ามีแหล่งเงินทุนเพียงพอหรือไม่ มีความปลอดภัยและการบริหารความเสี่ยงจากการถูกโจรกรรมขนาดไหน มีตัวตนจริงๆ ตรวจสอบได้ รวมถึงมีมาตรการป้องกันการฟอกเงิน เป็นต้น
เมื่อตรวจสอบแล้วและพบว่ามีมาตรฐาน นักลงทุนก็ต้องเข้าไปเว็บไซต์ของบริษัทนั้นเพื่อศึกษารายละเอียด อ่านข้อมูลให้ครบถ้วน จากนั้นก็ลงทะเบียนตามขั้นตอนก่อนลงทุน และหากมีความคุ้นเคยกับการลงทุนในหุ้น จะพบว่าหน้าจอมีความคล้ายกัน เช่น รายชื่อสกุลเงินดิจิทัล ราคาซื้อขายล่าสุด จำนวนซื้อขาย ราคาสูงสุด/ต่ำสุดต่อวัน รวมถึงข้อมูลอื่นๆ เช่น ค่าธรรมเนียม, บทวิเคราะห์ เป็นต้น
อย่างไรก็ตามผู้ลงทุนต้องจำไว้เสมอว่า ผลตอบแทนสูง ความเสี่ยงก็สูงตามไปด้วย และการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นเรื่องใหม่ ดังนั้นอาจจะไม่เหมาะกับคนที่ไม่ชอบความผันผวนที่สูงมาก การลงทุนในตัวเลือกอื่นๆอาจจะดีกว่า
------------------------------
ขอบคุณแหล่งข้อมูล
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์