นักลงทุนที่อยู่ในตลาดมากกว่า 10 ปี คงจะเคยได้เห็นการบูมครั้งยิ่งใหญ่ของประเทศกำลังพัฒนา การเติบโตของเศรษฐกิจ การเข้าระดมทุนของบริษัทจดทะเบียนที่มากมายมหาศาล และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การขึ้นอย่างรุนแรงของตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาเหล่านี้ ทำให้โบรคเกอร์ฝรั่งถึงกับบัญญัติศัพท์ใหม่ให้กับกลุ่มประเทศเหล่านี้ว่า "Emerging Market" รวมถึงประเทศไทยก็อยู่ในกลุ่มนี้ด้วยครับ ..
ก่อนหน้านั้น นักลงทุนจำนวนมากเล็งเห็นว่าประเทศกำลังพัฒนาเหล่านี้จะมีการเติบโตอยู่ในระดับสูง ตลาดหุ้นน่าจะทำผลตอบแทนได้ดีในอีก 1-2 ปีข้างหน้า อีกทั้งเศรษฐกิจของอเมริกาที่ไม่ค่อยจะดีนัก ยุโรปก็ยังมีปัญหา ดังนั้นตลาดหุ้นเกิดใหม่น่าจะตอบโจทย์การหาแหล่งพักเงินจนกว่าประเทศที่มีปัญหาเหล่านั้นจะฟื้นฟู
.. แต่แล้วสิ่งเหล่านี้ก็พลิกกลับอย่างสิ้นเชิง การพิมพ์เงินที่ถูกตราหน้าว่าจะทำลายเศรษฐกิจของอเมริกา การเลื่อนการชำระหนี้ของบางประเทศในยุโรป พิมพ์เงินเพื่อให้เกิดเงินเฟ้อและกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของชาวยุโรปโดยการกำหนดเงินฝากออมทรัพย์เป็น ติดลบครั้งแรงของโลก กลับได้ผลอย่างดีเยี่ยม เศรษฐกิจของประเทศมีปัญหาเริ่มฟื้นตัว ตลาดหุ้นเริ่มตอบรับโดยการทำจุดสูงสุดใหม่ ในขณะเดียวกันตลาดหุ้นเกิดใหม่ Emerging Market กลับสร้างผลตอบแทนได้ไม่ดีนัก บางประเทศติดลบอย่างหนัก เศรษฐกิจเริ่มมีปัญหา การเติบโตที่ไม่เป็นตามคาด และการตกอย่างหนักของตลาดหุ้นจีน ทำให้นักลงทุนเริ่มหมดความเชื่อมั่น
แล้วปัจจุบันนี้ละ ?
การทำจุดสูงสุดใหม่ของตลาดหุ้นพัฒนาแล้ว เริ่มมีเสียงดังออกมาว่าหุ้นเริ่มแพง การเติบโตจะไม่ดีเท่าที่มีการพิมพ์เงิน อเมริกาและยุโรปจะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีมาตรการใหม่ๆมากระตุ้นมัน นักวิเคราะห์โบรคเกอร์ชื่อดังเริ่มออกมาแสดงความเห็นว่า "พวกเรานักลงทุนน่าจะหันมามองตลาดหุ้นเกิดใหม่เพื่อกระจายการลงทุน หลังจากที่ตลาดหุ้นพัฒนาแล้วเริ่มอิ่มตัว และในอนาคตจะสร้างผลตอบแทนได้น้อย"
เรามาดูกันครับว่าแต่ละโบรคเขามีมุมมองต่อตลาด Emerging Market อย่างไรบ้าง ....
บริษัทการเงินชื่อดัง Goldman Sachs ออกมาแสดงความเห็นว่า "ตลาดหุ้นกำลังพัฒนาได้ผ่านพ้นช่วง 3 ปีที่สาบสูญ มันผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วไม่ว่าจะเป็นเรื่องของหุ้นและค่าเงิน ณ ระดับราคานี้ถือว่าน่าสนใจมาก มุมมองของเราค่อนข้างจะเป็นบวกในปีหน้า แต่ปีนี้มันน่าผิดหวังจริงๆ ส่วนประเทศที่เราสนใจนั้น คือ จีน อินเดีย และรัสเซีย"
อัลเบโต้ อาเดส นักวิเคราะห์ของ Goldman Sachs เขียนบทวิเคราะห์แนะนำตลาดหุ้นเกิดใหม่ว่า "highly undervalued (ต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานเป็นอย่างมาก) " ทางบทวิเคราะห์แนะนำให้นักลงทุนลงทุนในเม็กซิโก้และรัสเซียซึ่งทางฝ่ายวิจัยเชื่อว่าเศรษฐกิจรัสเซียจะมีเงินเฟ้อที่ต่ำและรัฐบาลกำลังจะประกาศขึ้นดอกเบี้ยเร็วๆนี้เพื่อสกัดเงินเฟ้อ
ธนาคารชื่อดังอย่าง Bank of America ออกมาแสดงความเห็นว่า "เป็นเวลากว่า 5 ปี ที่เหล่านักลงทุนหนีคลาดหุ้นเกิดใหม่ เป็นเรื่องน่าเศร้ามากถ้านักลงทุนไปลงทุนในประเทศเกิดใหม่เหล่านั้น พวกเขาจะสูญเสียเงินไปไม่น้อยกว่า 30% แต่ดีหน่อยถ้าพวกเขาลงทุนในบราซิล ตุรกีและอินเดีย ตลาดหุ้นของประเทศเหล่านี้ไม่ตกหนักมากนักเพราะยังเป็นประเทศที่เติบโตได้ดี อีกทั้งค่าเงินก็ไม่ได้แกว่งตัวรุนแรงมากนัก "
"เราค่อนข้างมั่นใจว่าประเทศกำลังพัฒนาไม่ได้ดูแพงอะไรเลยถ้าดูจาก MSCI Emerging Markets Index ตกหนักเกือบ 30% จากปี 2011 ในขณะที่ค่า P/E Ratio อยู่ที่ 12 เท่า และค่า P/BV Ratio อยู่ที่ประมาณ 1.3 เท่า ซึ่งน้อยกว่าดัชนี S&P500 ซะอีก .. ทางทีมงานของเราลงความเห็นกันว่าประเทศที่น่าสนใจจริงๆจะเป็นประเทศบราซิลและตุรกี ถ้านักลงทุนลงทุนในประเทศเหล่านี้คาดว่าน่าจะได้รับผลตอบแทนที่ดีในอนาคต"
ธนาคารชื่อดังของอังกฤษ Barclays Plc เชื่อว่าเศรษฐกิจของอเมริกาน่าจะมีปัญหาเพราะยังมีประเด็นเรื่องหนี้สินที่สูงถึง 1.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ จะกลับมากังวลประเด็นนี้อีกครั้ง ในขณะที่ปีหน้าทางฝ่ายวิจัยคาดการณ์ว่าตลาดหุ้นเกิดใหม่จะโตสูงถึง 7% โดยเฉลี่ย จาก 3.8% ในปี 2015 ซึ่งเป็นฐานที่ต่ำ ประเทศที่น่าสนใจลงทุน คือประเทศจีน
แล้วประเทศไทยล่ะ?
หวังว่าในปีหน้าอาจจะมีเม็ดเงินจากกองทุนต่างชาติมาซื้อหุ้นในประเทศเกิดใหม่ และแอบหวังลึกๆครับว่าประเทศไทยก็อาจจะรับอานิสงค์ไปด้วย
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยเองก็มีความเสี่ยงอยู่เช่นกัน เช่น GDP ของไทยในปี 2558 ถือว่าต่ำมาก และปีหน้าไม่น่าจะฟื้นตัวได้เร็ว แต่บทวิเคราะห์บางแห่งก็บอกว่า GDP ของไทยปีหน้าเติบโตไม่สูงก็จริงแต่ถ้าเทียบเป็นเปอร์เซนต์แล้วถือว่าดีเพราะปี 2558 เราโตจากฐานต่ำ อันนี้ก็แล้วแต่มุมมองของแต่ละคนครับ
ถึงแม้ว่าค่า P/E Ratio ของหุ้นไทยจะสูงถึงเกือบ 25 เท่า ซึ่งเป็นผลมาจากกำไรในไตรมาส 3/58 ของบริษัทจดทะเบียนเราไม่ดีเท่าที่ควร ในช่วงตลาดหุ้นผันผวนแกว่งตัวขึ้นๆลงๆนี้ จะดึงให้หุ้นบางตัวที่มีพื้นฐานดีลงไปด้วยซึ่งอาจเป็นโอกาสของนักลงทุนพันธุ์แท้ที่อยากจะสะสมหุ้นจริงๆครับ
ข้อมูลจาก Bloomberg (http://goo.gl/GCOKm3), MSCI World Index, SET