ช่วงที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าอย่างรุนแรงแตะระดับ 33-34 บาท ทำให้นักลงทุนสนใจว่าการเคลื่อนไหวของค่าเงิน มีผลต่อหุ้นไทยอย่างมีนัยสำคัญมากน้อยแค่ไหน ?
เงินของกองทุนต่างชาติ (FundFlow)มีบทบาทต่อตลาดหุ้นไทยค่อนข้างมาก
ดูจากภาพ ....

เส้นสีน้ำเงิน คือ ดัชนี SET Index
เส้นสีส้มคือ เงินของต่างชาติ หรือ FundFlow
ถ้ามองแบบเร็วๆ ถ้าเส้นสีส้มพุ่งขึ้น -- เส้นสีน้ำเงินมักจะลง
ถ้าเส้นสีส้มดิ่งลง -- เส้นสีน้ำเงินจะพุ่งขึ้น

แปลความง่ายๆว่า
ถ้าเส้นสีส้มพุ่งขึ้น หมายถึง ค่าเงินบาทอ่อนค่า สัญญาณของ Flow ไหลออก หุ้นไทยโดนต่างชาติขาย หุ้นเลยลง
ในทางกลับกัน ...
ถ้าเส้นสีส้มดิ่งลง หมายถึง  ค่าเงินบาทแข็งค่า สัญญาณของ Flow ไหลเข้า หุ้นไทยโดนต่างชาติไล่ซื้อ หุ้นเลยขึ้น

ดังนั้นค่าเงินบาท และการเคลื่อนไหวของหุ้นไทย มีความสัมพันธ์กันค่อนข้างมาก หุ้นไทยยังต้องอาศํย FundFlow จากต่างชาติที่จะทำให้หุ้นปรับตัวขึ้นได้

แต่พอมาช่วงหลัง (จากภาพช่วงที่ 3)
จะเห็นได้ว่าค่าเงินบาทแกว่งตัวในกรอบแคยราวๆ 28-33 บาทต่อ 1 ดอล์ล่าร์ หุ้นไทยก็สามารถวิ่งขึ้นได้ โดยไม่ได้มีความสัมพันธ์กับค่าเงินบาทที่แข็งค่า

จากเรื่องนี้น่าจะมาจากหลายปัจจัย ได้แก่
1. ตลาดหุ้นไทยมีขนาดใหญ่ขึ้น มีหุ้นพื้นฐานดีมากขึ้นในตลาด
2. จำนวนผู้ลงทุนรายย่อยมากขึ้น ซื้อ-ขายหุ้นด้วยความรู้ ไม่ใช่ตามสภาวะตลาดขึ้นๆลงๆ
3. การกำกับดูแลของตลาดหุ้นไทย และแบงก์ชาติในการเคลื่อนย้ายเม็ดเงินที่เข้มงวดขึ้น ... อันนี้มาจากบทเรียนในวิกฤตต้มยำกุ้ง
4. นักลงทุนต่างชาติมีมากขึ้น จากเมื่อก่อนต้องอาศัยเม็ดเงินจากทางฝั่งอเมริกา-ยูโรป แต่ปัจจุบันมีกองทุนต่างชาติจากทางเอเชียมากขึ้น
5. กองทุนของไทยเรามีขนาดใหญ่ขึ้น สามารถคุมตลาดได้มากขึ้นนั้นเอง

โดยเฉพาะข้อ 5 เป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้าเราลองสังเกตดีๆจะเห็นได้ว่าประเทศที่ดัชนีขึ้นได้อย่างยาวนาน เช่นในตลาดหุ้นอเมริกา ฮ่องกง หรือญี่ปุ่น ส่วนใหญ่จะต้องมีกองทุนในประเทศที่เข้มแข็ง มีเม็ดเงินขนาดใหญ่

ส่วนตัวเชื่อว่า ในอนาคตประเทศไทยก็จะมีนักลงทุนสถาบัน-กองทุนไทย ที่เพิ่มมากขึ้น หุ้นไทยก็จะสามารถขึ้นได้ในระยะยาว น้ันเองครับ