พอได้อ่านข่าวว่าช่วงโควิด มีนักลงทุนจำนวนมากเปิดพอร์ตบัญชีเข้ามาเล่นหุ้น อย่างช่วง 4 เดือนแรกมีบัญชีใหม่เพิ่มขึ้นเกือบ 7 แสนบัญชี เท่ากับว่าสิ้นเดือนเมษายน จะมีนักลงทุนรายย่อยในไทยอยู่ประมาณ 4.2 บัญชี ตีง่ายๆว่ามีประมาณ 4 ล้านคนที่เข้ามาลงทุนหรือเล่นหุ้นในตลาด
เท่ากับว่ามีคนในตลาดมากถึง 20% ที่เป็น "มือใหม่" ไม่เคยสัมผัส ไม่เคยเจอกับตลาดมาก่อน

แน่นอนว่าทุกคนที่เข้ามา ก็หวังเข้าเร็ว-ออกเร็ว เก็งกำไรกัน ...
แต่อยากจะฝากถึงนักลงทุนมือใหม่ว่า การเก็งกำไรมันก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น นี้เป็น 5 ข้อ ที่นักเก็งกำไรมักจะเข้าใจผิดมากที่สุด

1. เก็งกำไรรวยเร็ว รวยง่าย แค่ซื้อๆขายๆ
ภาพระยะสั้น ภาพของตลาดหุ้น คือ Zero Sum game คือถ้ามีใครได้กำไรไป แสดงว่าจะมีอีกคนที่ขาดทุน
ถึงแม้ว่าการเก็งกำไรจะทำเงินจากการถือเพียงระยะเวลาสั้นๆ แต่มันไม่ได้หมายความว่าแค่ซื้อๆขายๆก็ทำเงินได้

เพราะคนที่ทำเงินจากการเก็งกำไรได้จริงๆ เขามีการวางแผนล่วงหน้า มองภาพใหญ่ ศึกษาศาสตร์ของเทคนิเคิลอย่าจริงจัง มีวินัยที่ดี มีการบริหารหน้าตักของเงินที่ดี จึงจะสามารถสร้างกำไรในระยะยาว
... การเก็งกำไรของมือใหม่ เข้ามาซื้อๆขายๆ เห็นหุ้นตัวไหนวิ่งก็ซื้อ หุ้นตัวไหนโดนทุบก็เทขายแบบตื่นตระหนก แบบนี้เราจะขาดทุนในท้ายที่สุด

2. ตลาดหุ้น คือ ความจริงจัง ไม่ใช่เข้ามาแบบเล่นๆ
เคยมีเซียนหุ้นท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่า วิกฤตตลาดหุ้นก็เหมือนคลื่น "ซึนามิ" พัดพาทุกอย่างให้หายไปได้ในพริบตา มันไม่สนใจหรอกว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าของมันเป็นอะไร
... ตลาดหุ้นก็นเหมือนกัน นักเก็งกำไรมือใหม่อาจจะไม่จริงจัง เข้ามาเล่นๆหาค่ากับข้าวสัก 5% หรือ 10% แต่รู้หรือไม่ว่าเวลาตลาดถล่ม มันไม่สนใจว่าเราเข้ามาเก็งกำไรเล็กๆน้อยๆ มันไม่ปราณี มันเอาจนเราหมดตัว
ดังนั้น สิ่งที่นักลงทุนและนักเก็งกำไรมือใหม่เข้ามา ต้องเข้ามาแบบจริงจัง ไม่ใช่เข้ามาเล่นๆ หาค่ากับข้าว

3. ยิ่งเครื่องมือเทคนิเคิลมาก ยิ่งมีความแม่นยำ
ในความเป็นจริงแล้ว ยิ่งเครื่องมือเทคนิเคิลมากยิ่งทำให้เราสับสน
นักเก็งกำไรที่มีความชำนาญ จะใช้เครื่องมือเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น อาจจะมีเพียง 1-2 ตัวที่ตัวเราเองเข้าใจมากที่สุด คุ้นเคยมากที่สุด

สิ่งที่จะแบ่งแยกนักเก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่เครื่องมือทางเทคนิค แต่เป็นวินัยในการวางแผนการเทรด และการบริหารเงินหน้าตัก (Money Management) ต่างหาก

4. เทคนิเคิล ใช้บอกอนาคตที่ราคาหุ้นกำลังจะวิ่งไป
ข้อนี้เป็นข้อที่นักเก็งกำไรมือใหม่เข้าใจผิดมากที่สุด ส่วนใหญ่คิดว่าเครื่องมือทางเทคนิเคิลไว้บอกอนาคต ไว้ทำนายราคาหุ้นล่วงหน้า แต่ในความเป็นจริงแล้วเครื่องมือมีไว้สำหรับบอก "แนวโน้ม" และ "ความน่าจะเป็น"

เช่น การใช้เครื่องมือ MACD นักเก็งกำไรมักจะจำว่า ถ้าเส้น MACD ตัดเส้น Signal ขึ้นคือซื้อ ถ้าตัดลงคือขาย ก็เลยเทรดตาม ปรากฏว่ายิ่งนานวันเข้า ยิ่งขาดทุน
แต่สำหรับนักเก็งกำไรมืออาชีพ เขาจะมองว่าถ้าตัดเส้น Signal ขึ้น ถือว่ากราฟสวย เป็นหุ้นที่น่าเก็งกำไร
ลองเขยิบไปดูแนวรับ-แนวต้าน ว่ามีโอกาสมากน้อยแค่ไหน ... ใกล้แนวต้านแล้วรอมัน Pull back กลับมาบริเวณนี้ค่อยเข้าก็ยังไม่สาย  
จะเห็นได้ว่านักเก็งกำไรที่มีประสบการณ์ จะใช้สำหรับบอกแนวโน้ม ไม่ใช่มีไว้ให้เราทำตามหรือทำนายอนาคต

5. ขอกำไรวันละ 1% ถ้าเทรดครบ 1 ปี พอร์ตเราจะโต 300%
ความคิดนี้เป็นความคิดที่ผิดมาก เพราะในความเป็นจริงแล้ว การเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นมีเรื่องของอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง
บางโอกาส ก็ขึ้นแบบไม่มีเหตุผล
บางโอกาส ก็แกว่งตัวออกข้าง ไร้วอลุ่ม น่าเบื่อ ไม่มีจังหวะให้เก็งกำไร หมุนหุ้นเล่นกันเป็นรอบๆ
บางโอกาส ก็ลงจนน่าตกใจ ลงจนเรากลัวต้องออกจากตลาดไป
ดังนั้น จะคาดหวังว่าขอกำไรวันละ 1% เป็นเรื่องที่ยากมาก หรือแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

เคยมีผลสำรวจชี้ว่า เทรดเดอร์ที่มีความชำนาญและเก็งกำไรเป็นอาชีพจริงๆ มีค่าเฉลี่ยของการสร้างผลตอบแทนในระยะยาวอยู่ที่ 20-25% ต่อปีโดยเฉลี่ย และผลตอบแทนที่สร้างได้เป็นกอบเป็นกำมาจากหุ้นเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้นที่ถือผ่าน "รอบใหญ่"  ไม่ได้มาจากการซื้อๆขายๆเพื่อการเก็งกำไร

นี้ก็เป็น 5 ข้อ ที่นักเก็งกำไรมักจะเข้าใจผิดมากที่สุด
ดังนั้น จะเข้ามาเก็งกำไรคิดว่าตลาดหุ้น คือ "หมู"
... ไม่แน่ว่าตัวเราเองอาจจะเป็นหมูซะเอง