#แนวคิดด้านการลงทุน

ค่า P/E ควรเป็นเท่าไร

โดย stock2morrow
เผยแพร่:
369 views

หลายๆครั้งเวลาเราอ่านบทวิเคราะห์จะเห็นว่า ทำไมบทวิเคราะห์หุ้นตัวเดียวกัน แต่ต่างโบรคเกอร์กันกับให้ราคาเหมาะสม และค่า P/E ที่แตกต่างกัน ?
... นั้นเป็นเพราะว่าโบรคเกอร์นั้นต้องการวิเคราะห์ประเด็นอะไร และสถานการณ์ไหน
บทวิเคราะห์ที่ 1 มองประเด็นถึงการปิดเมืองเป็นหลัก และจะกดดันผลประกอบการต่อไปอีก 2 ไตรมาส จึงมีมุมมองเป็นลบ

บทวิเคราะห์ที่ 2 มองข้ามไปถึงปีมา ว่าผลประกอบการจะฟื้นกลับมาได้จึงมองเป็นบวก และปรับคำแนะนำเป็นลงทุนระยะยาว

บทวิเคราะห์ที่ 3 มองว่าแม้จะถูกกดดันจากโควิด แต่ดีลควบรวมกิจการหรือการลงทุนจะเห็นผลเร็วๆนี้ จึงมีมุมมองเป็นบวก

วิเคราะห์หุ้นตัวเดียวกัน แต่กลับมีมุมมองแตกต่างกันขึ้นอยู่กับว่าเราจะมองประเด็นไหนแต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะไม่แตกต่างกันมาก อาจจะห่างกันสัก 10-20% ในหุ้นขนาดใหญ่
บางครั้งหุ้นขนาดกลาง-เล็ก ก็จะแตกต่างกันมากชนิดที่ว่าตัวเลขห่างกัน 3 เท่า หรือ 4 เท่าได้เลย

แล้วแบบนี้ เราพอจะมองได้ไหมว่าความเหมาะสมของค่า P/E ของหุ้นนั้น ควรจะเป็นเท่าไรกันแน่ ... ?
ค่า  P/E ที่เหมาะสมส่วนใหญ่จะมองแบบนี้ครับ


1. ใช้ค่า P/E เฉลี่ยของบริษัทหรือหุ้นในอดีตที่ผ่านมา
ส่วนใหญ่วิธีนี้จะใช้ได้ในหุ้นขนาดใหญ่ SET50 ที่ผลประกอบการไม่ผันผวนมากนัก และไม่ได้มีการทำดีลขนาดใหญ่ชนิดที่ว่าจะเปลี่ยนแปลงผลประกอบการให้โต "ขึ้นเป็นเท่า" การใช้ค่า P/E เฉลี่ยของหุ้นที่ผ่านมาถือว่าไม่มีปัญหา

ถ้าหุ้นเทรดกันค่า P/E มากกว่าเฉลี่ย เราก็พอเดาได้ว่าหุ้นมีราคาแพง
ถ้าหุ้นเทรดกันต่ำกว่า P/E เฉลี่ย เราก็พอจะเดาได้ว่าหุ้นถูกเกินไป


2. ใช้ค่า P/E เฉลี่ยของอุตสาหกรรม
จริงๆการใช้ P/E ของหุ้นเทียบกับอุตสาหกรรม ก็ถือเป็นวิธีหนึ่งที่นิยมในอดีต แต่ปัจจุบันอาจจะไม่นิยมมากเท่าไรนัก อาจจะเป็นเพราะว่าในปัจจุบันการทำธุรกิจเปลี่ยนแปลงไป บางบริษัทก็พอใจกับที่ตัวเองเป็นอยู่ บางบริษัทก็ต้องการเติบโตสูงมาก จำเป็นต้องขยับขยายไปลงทุนธุรกิจอื่น ทำให้การเปรียบเทียบเป็นไปได้ยาก

เช่น บริษัทค้าปลีก A ไม่มีหน้าร้านเป็นของตัวเอง แต่เป็นลักษณะ "นำเข้า" และทำการตลาดสินค้าของต่างชาติเท่านั้น
บริษัทค้าปลีก B มีหน้าร้านเป็นของตัวเอง มีพื้นที่เช่าขนาดใหญ่ แลยังนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศมาทำการตลาดด้วย
บริษัทค้าปลีก C มีหน้าร้านเป็นของตัวเอง มีร้านค้าส่ง มีไฮเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่

ทั้ง 3 บริษัทอยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน แต่ธุรกิจแตกต่างกันค่อนข้างมาก ทำให้การใช้ค่า P/E เฉลี่ยของอุตสาหกรรมไม่ตรงเป้าหมายสักเท่าไรนัก


3. ใช้ค่า P/E เทียบกับการเติบโต หรือ PEG Ratio
นี้เป็นวิธียอดนิยมในยุคปัจจุบันที่นักวิเคราะห์ชอบใช้กันมากโดยเฉพาะในยามที่ตลาดหุ้นคึกคักและมีการเก็งกำไรสูงมาก ก็คือการใช้ค่า PE ที่อิงอยู่กับ การเติบโตของบริษัท (Growth)  โดยที่บ่อยครั้งเขาจะเรียกว่าค่า PEG หรือค่า PE หารด้วยการเติบโตของกำไรต่อหุ้น


4. เทียบกับตามตำรา ค่า P/E ที่เหมาะสม คือ 18 เท่า
ในอดีตหนังสือหุ้น VI ประเภทอนุรักษ์นิยมจะให้ค่า P/E ที่เหมาะสมไม่ควรสูงเกินกว่ 10 เท่า แต่พอเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำแทบจะติดลบ การทำธุรกิจที่สามารถเติบโตได้เร็วมากในเวลาอันสั้น บทวิจัยจึงมีความเห็นว่าค่า P/E ที่เหมาะสมโดยเฉลี่ยควรจะอยู่ที่ประมาณ 18 เท่า

ถ้าหุ้นตัวไหนสูงกว่า 18 เท่า ถือว่าแพง
ถ้าหุ้นตัวไหนแพงกว่า 18 เท่า ถือว่าถูก
แต่ทั้งนี้ต้องมีเงื่อนไข คือ "คุณภาพ" ของหุ้น ....หุ้นที่มีคุณภาพสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดก็ควรที่จะมีค่า PE สูงกว่า 18 เท่า  ยิ่งคุณภาพสูงเท่าไรก็ควรมีค่า PE สูงกว่าเท่านั้น  เช่นเดียวกัน  หุ้นที่มีคุณภาพต่ำก็ควรได้ค่า PE ต่ำกว่า 18 เท่า   

ซึ่งคำจำกัดความของคุณภาพ คือ ความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจของบริษัท  และความสามารถในการทำกำไรนั้นก็ขึ้นกับความได้เปรียบที่ยั่งยืนของบริษัทเมื่อเทียบกับคู่แข่งในธุรกิจ
เมื่อบริษัทมีคุณภาพ มีควาสามารถในการทำกำไร ก็จะเป็นเรื่องของการเติบโต  และทั้งสองอย่างนี้ก็แยกออกจากกันไม่ได้เลย ...


จะเห็นได้ว่าการประเมินมูลค่าที่ "เหมาะสม" ของ P/E เป็นเรื่องของทฤษฏีและตัวเลข ที่ยากแก่การหาตัวเลขที่เหมาะสมแบบเฉพาะเจาะจงลงไปได้
แต่ในปัจจุบัน ธุรกิจเปลี่ยนไปค่อนข้างมาก การวิเคราะห์แบบอนุรักษ์นิยมจึงถูก "ลืมเลือน" ไป กลายมาเป็นการวิเคราะห์แบบ Growth คือเน้นการเติบโตไว้ก่อน ดังนั้นการหาค่า P/E ที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน คือ การเทียบกับการเติบโต หรือ PEG Ratio


อ่านบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติม : กลยุทธ์ P/E Forward และ PEG


ศูนย์รวมความรู้เรื่องหุ้น ศูนย์รวมนักลงทุนรายย่อย ที่อยากรู้วิธีการลงทุนในหุ้นอย่างถูกต้องและได้กำไรอย่างยั่งยืน ติดตามเราได้ที่

www.stock2morrow.com 

FB: stock2morrow 

LINE@stock2morrow

FacebookInstagramYoutubeLine

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง