ผมมีความเห็นว่า
การลงทุนหุ้นนับจากกลางเดือนสิงหาคมนี้
มันจะเป็นข้อสอบระดับ "ยากเป็นพิเศษ"
สาเหตุมาจาก 3 เรื่องสำคัญ
1. ระดับโลก
คือ เรื่อง FED จะลดปริมาณเงินในการอัดฉีดเศรษฐกิจ ที่เราเรียกว่า QE tapering นี่แหละ สิ่งนี้จะเกิดขึ้นแน่ๆ แต่จะเกิดเมื่อไหร่เท่านั้น..สัญญาณว่าจะลดปีนี้หรือไม่จะแพลมออกมาปลายเดือนนี้
ต้องยอมรับว่า ตลาดหุ้นหลายแห่ง พุ่งขึ้นแบบมหัศจรรย์ ด้วยสภาพคล่องที่ล้นเหลือ จากปริมาณเงินที่อัดฉีดสู่ระบบนี่แหละ ลดลง หรือดึงออกเมื่อไหร่ ตลาดหุ้นตปท.โดยเฉพาะที่ US ควรจะต้องปรับฐาน มากหรือน้อย ก็ต้องมี
2. ระดับประเทศไทย
คือ เรื่องวัคซีน และการล็อคดาวน์ที่ยืดเยื้อ นาทีนี้ คุณลองถามคนรอบตัว 10 คนว่า มีความเชื่อมั่นว่ารัฐจะจัดหาและฉีดวัคซีนได้ 100 ล้านโดสก่อนสิ้นปี แค่ไหน ...ไม่ต้องบอกผม...ให้คำตอบอบอวลในใจท่าน
ซึ่งผลของมัน คือการล๊อคดาวน์ที่ยืดเยื้อ ซึ่งแต่ละวันที่ปิดเมือง มันใช้ต้นทุนที่มหาศาล
เดือน 7 ผ่านไป... เดือน 8 ค่อยๆผ่านไป ...นาทีนี้คนจำนวนไม่น้อย พูดถึงการล็อคดาวน์ ถึงเดือนกันยายนไปแล้ว
ผลทั้งหมด จะทำให้ GDP ประเทศไทยติดลบในครึ่งปีหลังค่อนข้างแน่นอน ตอนนี้นักเศรษฐศาสตร์หลายสำนัก ลุ้นแค่ปี 64 GDPไทยไม่ติดลบ ก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว
แน่นอนว่า GDP ไทยปีนี้ถูกปรับลด นักลงทุนต่างชาติไม่เข้า
หุ้นใหญ่ก็ถูกเรื้อรังต่อไป
3. ระดับบริษัทจดทะเบียน
ผลประกอบการไตรมาสสองที่ผ่านมาประกาศงบไปหมดแล้ว เชื่อว่าเป็นจุดสูงสุดของปีนี้ และ เมื่อพรีเซนต์ Year on Year มันดูดีมากเพราะเทียบกับ Q2 ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นไตรมาสปิดเมืองที่แย่ที่สุดจากโควิดรอบแรก
นับจากนี้ เราท่านทั้งหลายทราบดีว่า ไตรมาสสามปีนี้ คือ "เผาจริง" ห้าง ร้านอาหาร กิจกรรมทางเศรษฐกิจ ฯลฯ ปิดมาร่วมสองเดือนแล้ว EPS Earnings per Share ของกิจการในตลาดหุ้นโดยเฉพาะที่เป็นการบริโภคในประเทศ หลายแห่งงบครึ่งปีหลังจะดูแย่
ถามว่า ในฐานะนักลงทุนรายย่อย
เม่าปีกเหล็ก ควรทำยังไง
ถ้าหุ้นไทย ก็ตอบได้หลายแบบนะ
>>> ถ้าไม่เชื่อมั่น
ก็หยุดซืัอหุ้นก่อน wait and see เน้นถือเงินสด เผื่อมีลงกระแทกจะได้เป็นชาวสวนได้
>>> ถ้ายังเชื่อมั่น
ก็เติมตังค์ ถ้าหุ้นไทย ผมยังคิดว่าหุ้นใหญ่ที่น่าจะฝ่าวิกฤตได้ ไม่ได้รับผลกระทบจากการปิดเมืองมาก และมีปันผลที่สูง อย่าง โรงไฟฟ้า สื่อสาร กองรีท กองอินฟรา มันก็ยังพอได้อยู่นะ