#ข่าวหุ้นธุรกิจการลงทุน

เศรษฐกิจไทยถดถอยสองปีติด นโยบายการคลังยังไม่ดีพอ

โดย stock2morrow
เผยแพร่:
210 views

สรุปสาระสำคัญ

  • การระบาดรอบใหม่รุนแรงกว่าเดิมมาก และการ Lockdown ที่เข้มข้น การกระตุ้นเศรษฐกิจที่มากและครอบคลุมจะช่วยบรรเทาแผลเป็นระยะยาวต่อเศรษฐกิจไทย ประเด็นคือตอนนี้ยังไม่มากเพียงพอ
  • รายได้ที่ลดลง และการบริโภคที่หดตัวเป็น "จุดเริ่มต้น" ของปัญหาอื่นๆที่จะตามมา
  • การกระตุ้นผ่านนโยบายการคลัง ต้องมากและเร่งด่วนอย่างที่สุดไม่ว่าจะเป็นการจัดหาสรรพยากรให้กลุ่มคนด้านหน้า เร่งจัดหาวัคซีนคุณภาพ ชดเชยรายได้ กระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการพิเศษ

 


บทวิจัยเศรษฐกิจของ KKP Research โดยเกียรตินาคินภัทร รายงานว่า "นโยบายเศรษฐกิจรับวิกฤตโควิด ทำอย่างไรให้เพียงพอ" เตือน ประเทศไทยมีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยจะเป็นไม่กี่ประเทศในโลกจะมีเศรษฐกิจหดตัวลงต่อเนื่องกันถึงสองปี
... โดยแสดงความเห็นว่า ผลกระทบต่อเศรษฐกิจของแต่ละประเทศในโลกจากการระบาดของโควิดแตกต่างกันไปในแต่ละกลุ่มประเทศ โดยมีปัจจัยขึ้นอยู่กับหลายอย่าง เช่น ความรุนแรงและระยะเวลาในเกิด โครงสร้างเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ การจัดหาวัคซีนของภาครัฐ และการกระตุ้นเศรษฐกิจ

ในภาพรวม กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาและประเทศรายได้น้อย ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่รุนแรงกว่าและฟื้นช้ากว่ากลุ่ม
ประเทศที่พัฒนาแล้ว ในขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาขนาดของความช่วยเหลือจากนโยบายเศรษฐกิจในช่วงเวลาดังกล่าวพบว่า
กลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว มีความสามารถให้ความช่วยเหลือเศรษฐกิจในปริมาณที่ใหญ่กว่ามาก  ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็น
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจในระยะสั้นและสะท้อนประสิทธิภาพของรัฐบาลในภาวะวิกฤต

 

ในกรณีของประเทศไทย KKP Research ระบุ GDP ในไตรมาส 2 ส่งสัญญาณเศรษฐกิจในประเทศที่อ่อนแอต่อเนื่อง แม้จะมีการเติบโตได้ 7.5% เทียบกับปีก่อน แต่เหตุผลหลักเกิดจากฐานที่ต่ำของ GDP ใน ไตรมาส 2 ปีก่อน ที่หดตัวไป 12.1% ในขณะที่การบริโภคและการลงทุนในประเทศชะลอตัวลงจากไตรมาสก่อนจากผลกระทบจากการระบาดของโควิด -19

เศรษฐกิจในประเทศน่าจะหดตัวลงในไตรมาส 3 จากการระบาดของโควิด-19 ที่ยังอยู่ในระดับที่น่ากังวล และมาตรการล็อกดาวน์ที่ยังคงอยู่ต่อเนื่อง ที่สำคัญ KKP Research ระบุว่าการแพร่ระบาดในปัจจุบันรุนแรงกว่า กว้างขวางกว่า และยาวนานกว่าปีก่อน


ผลกระทบจากโควิดที่เริ่มต้นจากการหยุดชะงักของรายได้และกิจกรรมทางเศรษฐกิจ อาจลุกลามไปสู่ปัญหาอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งฐานะทางการเงิน กำไร และกระแสเงินสดของธุรกิจและครัวเรือน ซึ่งจะเป็นต้นตอที่นำไปสู่ผลกระทบทางเศรษฐกิจอื่น ๆ ตามมา เช่น
1. การจ้างงาน
2. ปัญหาความสามารถในการชำระหนี้และค่าเช่าของบริษัท จากกระแสเงินสดที่ไม่เพียงพอ
3.  การลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ซึ่งเพิ่มผลกระทบให้กระจายเป็นวงกว้างกับธุรกิจอื่นๆ ในห่วงโซ่อุปทาน

ประเด็นที่น่ากังวล คือ ผลกระทบต่อความอยู่รอดของธุรกิจและครัวเรือน ในกรณีเลวร้าย ธุรกิจหลายแห่งอาจต้องปิดตัวลงถาวรภายใต้การระบาดที่ยืดเยื้อเช่นในปัจจุบันซึ่งจะสร้างแผลเป็นให้กับเศรษฐกิจไทยในระยะยาว ที่สำคัญการระบาดยังมีแนวโน้มเริ่มลุกลามไปถึงภาคการผลิตและภาคการส่งออก

ที่สำคัญ คือ นโยบายเศรษฐกิจไทยมีปัญหา ใช้เงินน้อเกินไป ไม่มีความหลากหลาย และไม่ได้มองถึงภาพระยะยาว
การทุ่มงบของภาครัฐใช้เงินเพียง 10% เทียบกับมูลค่าของ GDP หรือ 1.5 ล้านล้านบาท ถือว่าน้อยมาก ถูกนำมาใช้อย่างจำกัด ไม่ครอบคลุมทุกกลุ่มคน และบางครั้งก็ส่งไปในระบบเศรษฐกิจแบบไม่ถึง
โดยประเทศที่พัฒนา และรัฐบาลไทยควรเอาแบบอย่าง ประกอบไปด้วย 4 มิติ คือ
1. เยียวยาผลกระทบ
2. ช่วยเหลือภาคธุรกิจและครัวเรือน
3. กระตุ้นเศรษฐกิจ
4. ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ
เมื่อเทียบกับของไทยจะมีเพียงช่วยเหลือธุรกิจและครัวเรือนเท่านั้น ไม่ได้มีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและปรับโครงสร้างเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะยาวต่อไป


แล้วแบบนี้รัฐบาลควรจะมีแนวทางอย่างไรดี ?
KKP Research ประเมินว่าในภาวะที่ประเทศกำลังเผชิญวิกฤตและความท้าทายจากการแพร่ระบาดของ Covid-19 นโยบายการคลังจำเป็นต้องมีบทบาทสำคัญในการรับมือในหลายมิติ คือ

 

1.  ในระยะสั้น มีความจำเป็นในการจัดสรรทรัพยากรอย่างเพียงพอเพื่อเสริมศักยภาพด้านสาธารณสุขในการรับมือการระบาด ไม่ว่าจะเป็นการจัดระบบตรวจคัดกรอง สืบสวนโรค และคัดแยกผู้ติดเชื้อ เพื่อให้สามารถเข้าใจสถานการณ์ที่แท้จริง ลดความเสี่ยงของผู้ติดเชื้อ และจำกัดผลกระทบจากการปิดเมือง

 

2. เร่งจัดหาและกระจายวัคซีนที่คุณภาพซึ่งเป็นทางออกที่สำคัญจากวิกฤตในครั้งนี้ โดยเฉพาะกับกลุ่มเสี่ยงและกลุ่มผู้สูงอายุ เพื่อลดความสูญเสีย และเร่งทำให้เศรษฐกิจสามารถกลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว จากประสบการณ์ที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าต้นทุนของวัคซีนถูกกว่าต้นทุนในการเยียวยาและกระตุ้นเศรษฐกิจ เป็นการลงทุนที่มีความคุ้มค่ากว่ามาก

 

3. เมื่อมีการใช้มาตรการล็อกดาวน์เพื่อลดความเสี่ยงของการแพร่กระจาย มีความจำเป็นต้องออกมาตรการเยียวยา ที่ครอบคลุม เพียงพอ และเหมาะสมกับสถานการณ์ เพื่อชดเชยการขาดรายได้โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานและธุรกิจที่ได้รับผลกระทบโดยตรง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดแผลเป็นถาวรทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ มาตรการเยียวยาที่เพียงพอยังช่วยทำให้การล็อกดาวน์ได้รับการยอมรับและปฏิบัติตามมากขึ้น

 

4. เมื่อสถานการณ์ระบาดเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ รัฐยังมีความจำเป็นในการใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการใช้จ่ายที่ช่วยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ที่มีประโยชน์ตรงตามความต้องการของพื้นที่ และ เร่งการสร้างงาน เพื่อนำเศรษฐกิจกลับสู่ระดับศักยภาพโดยเร็ว

 

5. นอกจากนี้ ยังมีความจำเป็นในการใช้จ่ายเพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อรับความท้าทายหลังโควิด-19 โดยเฉพาะด้านความสามารถในการแข่งขันของประเทศ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และพัฒนาทักษะ และคุณภาพของแรงงาน เพื่อรับมือกับการแข่งขันด้านเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว รวมถึงการลงทุนด้านการศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพของนักเรียนที่ได้รับผลกระทบจากการเรียนรู้ในช่วงที่มีการระบาด

นอกจากนี้ KKP Research มองว่านโยบายการเงินควรมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการฟื้นตัว และบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น โดยปรับปรุงนโยบายเดิม และพิจารณาเครื่องมือรูปแบบใหม่ที่ก้าวออกจากกรอบการทำนโยบายการเงินแบบเก่า คือ

 

1. พิจารณาผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมเพื่อรักษาเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจ การผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม ผ่านการลดดอกเบี้ยนโยบาย และ/หรือ การลดอัตราเงินนำส่งจากสถาบันการเงิน (FIDF fee) เพื่อลดต้นทุนทางการเงิน และส่งผ่านการกระตุ้นไปยังอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ เพื่อช่วยเสริมและพยุงเศรษฐกิจที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น

 

2. รักษาสภาพคล่องในระบบให้มีอย่างเพียงพอ และเตรียมอัดฉีดสภาพคล่องเพิ่มเติม เพื่อชดเชยสภาพคล่องที่อาจหดหายไปจากเศรษฐกิจที่หยุดชะงัก และรักษาเสถียรภาพของระบบการเงิน โดยทำหน้าที่เป็นนโยบายหนุนหลัง (policy backstop) สำหรับตลาดการเงินและเศรษฐกิจ โดยพิจารณาเครื่องมือนโยบายการเงินรูปแบบใหม่ (เช่น การทำ Quantitative Easing – QE) หรือเตรียมมาตรการเพื่ออัดฉีดสภาพคล่องในภาวะฉุกเฉิน และปรับเงื่อนไขมาตรการรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินให้สอดคล้องกับสถานการณ์

 

3. มาตรการบรรเทาภาระหนี้ของลูกหนี้ โดยคำนึงถึงการรักษาเสถียรภาพของระบบการเงิน ในสถานการณ์ปัจจุบัน การเลื่อนการชำระหนี้ ลดภาระหนี้ และการปรับโครงสร้างหนี้ มีความจำเป็นเพื่อบรรเทาผลกระทบลูกหนี้ โดยขยายเวลารับรู้ต้นทุนความเสียหายไปในอนาคต และป้องกันไม่ได้เกิดการเรียกคืนหนี้ การฟ้องล้มละลาย และการบังคับหลักประกันพร้อมๆกัน ซึ่งจะเกิดความเสียหายอย่างรุนแรงต่อระบบได้ อย่างไรก็ดี มาตรการที่ใช้ต้องระมัดวังไม่ให้เกิดปัญหาแรงจูงใจที่ผิด (moral hazard) และจำกัดผลกระทบต่อฐานะของสถาบันการเงินที่อาจนำไปสู่ปัญหาความเชื่อมั่นของระบบการเงินได้

 

4. มีมาตรการให้ความช่วยเหลือด้านสภาพคล่องเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือครัวเรือนและธุรกิจ ที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจหยุดชะงัก ผ่านระบบธนาคาร โดย ธปท. อาจพิจารณาใช้มาตรการจัดหาสภาพคล่องดอกเบี้ยต่ำระยะยาว เพื่อสนับสนุนการปล่อยกู้ของธนาคาร โดยมีโครงสร้างการแบ่งรับความเสียหายอนาคตกับรัฐ เพื่อเพิ่มแรงจูงใจในการปล่อยกู้เพิ่ม โดยผูกการจัดหาสภาพคล่องเพิ่มเติมกับเงื่อนไข เช่น การรักษาการจ้างงาน เป็นต้น

 

5. กฎเกณฑ์ กฎระเบียบของมาตรการที่ออกมาก่อนหน้านี้อาจมีความเข้มงวดเกินไปและไม่สร้างแรงจูงใจให้สถาบันการเงิน หรือผู้ได้รับผลกระทบเข้าร่วมโครงการได้ มีความจำเป็นต้องแก้ไขให้นโยบายใช้ได้ผลเต็มที่มากขึ้น และการออกกฎเกณฑ์ต่างๆควรพิจารณาถึงผลกระทบข้างเคียงและการบิดเบือนตลาด ที่อาจจะสร้างปัญหาใหม่ๆ ได้


อย่างไรก็ตาม ทาง KKP Research เสนอว่าสิ่งที่ต้องทำเร่งด่วนที่สุดเป็นอันดับแรก คือ "วัคซีนที่มีคุณภาพสูง" ที่สามารถภูมิคุ้มกัน ป้องกันการป่วยรุนแรง ลดความสูญเสีย และลดแรงกดดันต่อระบบสาธารณสุข

 

อ่านรายงานฉบับเต็มได้ที่ : บทวิเคราะห์ KKP Research นโยบายเศรษฐกิจรับวิกฤตโควิด ทำอย่างไรให้เพียงพอ


ศูนย์รวมความรู้เรื่องหุ้น ศูนย์รวมนักลงทุนรายย่อย ที่อยากรู้วิธีการลงทุนในหุ้นอย่างถูกต้องและได้กำไรอย่างยั่งยืน ติดตามเราได้ที่

www.stock2morrow.com 

FB: stock2morrow 

LINE@stock2morrow

FacebookInstagramYoutubeLine

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง