ธุรกิจศูนย์ประชุมและแสดงสินค้าเคยเป็นเป็นธุรกิจที่ "ดีหนึ่งประเภทหนึ่ง" ของประเทศไทย
เหตุผล 1 : เป็นธุรกิจหนึ่ง ภายใต้จักรวาลการท่องเที่ยว ที่เติบโตสูงมาก และเป็นหนึ่งในธุรกิจที่ไทยทำได้ดีกว่าประเทศอื่นๆ
บางที่ก็เรียก MICE Tourism ย่อมาจากคำในภาษาอังกฤษว่า
Meetings (จัดประชุม)
Incentive Travel (ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการการท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล)
Conventions (การประชุมนานาชาติ)
Exhibitions (การจัดนิทรรศการ และงานแสดงสินค้า)
เหตุผล 2 : ถ้านับเฉพาะเบอร์ใหญ่ big scale จริงๆ นี่คือธุรกิจผู้แข่งขันน้อยราย เพราะเอาจริงๆ ก็มี Big 3 คือ อิมแพ็คเมืองทองธานี ไบเทคบางนา และ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ นี่แหละ
หนึ่งในนี้ มีหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ IMPACT ที่ถือครองสินทรัพย์ Freehold ในอิมแพ็คเมืองทองธานีอยู่ จัดเป็นกองรีทที่น่าสนใจเพราะกองเป็น Freehold และเป็นผู้นำในการจัดงานแสดงสินค้าด้วย
และที่สำคัญ เมื่อกลางปี 2562 หนึ่งใน Big 3 คือศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ปิดรีโนเวท ซึ่งที่ผ่านมา 2 ปีควรจะเป็น "หน้านาครั้งใหญ่" ของทั้งอิมแพ็ค และ ไบเทค
ซึ่งราคาหุ้น IMPACT ช่วงต้นปี 62 อยู่แถวๆ 18-19 บาท แต่ไม่กี่เดือนต่อมาในช่วงไตรมาส 3 ราคาก็ไปสูงสุดที่ 29 บาทนู่นเลย
แต่อนิจจา ... ไม่กี่เดือนต่อมา โควิดก็มาทำลายโอกาสทอง
ราคาหุ้น IMPACT ในช่วงที่ผ่านมา
ข้อดีของ IMPACT คือ เป็น Freehold ไม่มีอายุกองแบบ Leasehold เพราะฉะนั้น วันเวลาจะอยู่ข้างคนถือ
ข้อเสียคือ ในระหว่างนี้ ก็มีศูนย์ประชุมคู่แข่ง ไซซ์กลาง ไซซ์เล็ก เกิดขึ้นมากมายเช่นกัน (competitions)
และคู่แข่งที่ถือว่า เก่งบวกเฮง มีความน่ากลัวในเชิงทำเล เพราะตั้งอยู่ใจกลางเมือง แถมมีสถานีรถไฟฟ้า MRT จอดหน้าศูนย์เลย คือ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตติ์ ที่ประกาศว่าจะกลับมาเปิดได้ เดือนกันยายน 2565
พร้อมๆกับการปิดจุดอ่อนดั้งเดิม คือศูนย์มีพื้นที่เล็กไปเมื่อเทียบกับ ไบเทคและอิมแพ็ค
รอบนี้ทำพื้นที่ใหญ่กว่าเดิม 5 เท่า ...โอ้โห
สุดท้าย ไม่ว่าจะเป็น อิมแพ็คเมืองทองธานี ไบเทคบางนา ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
ก็มีเงื่อนไขสำคัญที่ธุรกิจจะฟื้นและวิ่งต่อได้
คือโควิดต้องหาย
และการเดินทางต้องกลับมา ครับ