นาทีนี้ ต้องยอมรับว่าตลาดหุ้นไทย อยู่ในอาการ “ขาดข่าวดี” อย่างรุนแรง
ท่ามกลางสถานการณ์โควิดที่ยังไม่กระเตื้องขึ้น แม้ว่ารัฐจะใช้ยาแรงล็อคดาวน์เข้มข้นขึ้น โดยปรับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (พื้นที่สีแดงเข้ม) จากเดิม 13 จังหวัด เพิ่มขึ้นเป็น 29 จังหวัด คงมาตรการล็อกดาวน์และเคอร์ฟิว 21.00-04.00 ตั้งแต่วันที่ 3 ส.ค. 2564 เป็นต้นไป โดยจะมีการประเมินทบทวนกันอีกทีในวันที่ 18 ส.ค. 2564 หากยังไม่ดีขึ้นจะยืดออกไปถึง 31 ส.ค. 2564 (ณ.วันที่ 11 สิงหาคม ก็ยังมีจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มขึ้นระดับ 20,000+ รายต่อวัน)
นั่นหมายความว่า เมืองใหญ่ที่เป็นฐานกำลังเศรษฐกิจของไทย มีโอกาสจะถูกล็อคดาวน์เป็นเวลาอย่างน้อย 2 เดือน (นับจากเดือนกรกฎาคม) ซึ่งเทียบเท่ากับความรุนแรงของการล็อคดาวน์รอบแรก ที่เคยเกิดในช่วงปลายเดือนมี.ค.-พ.ค. 2563 ซึ่งสร้างบาดแผลทางเศรษฐกิจและสร้างจุดต่ำสุดในรอบปีที่ผ่านมา
ทั้งที่ต้นปี 64 เราเชื่อว่าปีนี้จะเป็นปีแห่งการพลิกฟื้น อย่างน้อยควรจะเติบโตได้ 3% หลังจากที่ปี 63 เรามี GDP ติดลบ 6.1% ซึ่งต่ำที่สุดในรอบ 22 ปี หากตัวเลขผู้ติดเชื้อพุ่งเกิน 2 หมื่นคนต่อวันอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต้องล็อกดาวน์นานทะลุเดือนสิงหาไปถึงเดือนกันยายน จะเกิดความเสี่ยงกดดันเศรษฐกิจไทยให้ถดถอย 2 ปีซ้อน GDP ปี 64 นี้ก็อาจจะติดลบ ซ้ำซ้อนอีกปีหนึ่ง
ส่งผลให้บรรยากาศการลงทุนในหุ้นเดือนสิงหาคมยังคงซึมต่อ รับข่าวโควิด-19 ระบาดยืดเยื้อ สำทับด้วยการขายออกสุทธิของนักลงทุนต่างชาติอย่างต่อเนื่อง (ต้นเดือนสิงหาคม 64 ขายสุทธิเกินแสนล้านบาท) วอลุ่มการซื้อขายต่อวันที่ลดระดับลงจากช่วงต้นปี และกำไรบริษัทจดทะเบียนคาดการณ์ไตรมาส 3 ปี 2564 ที่น่าจะย่ำแย่เพราะการล็อคดาวน์อย่างน้อย 2 เดือน สร้างความกังวลมากขึ้นต่อผลกระทบทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง
กรณีฐาน (Base Case)
หากจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ขึ้นแตะระดับสูงสุดที่ 2 -2.5 หมื่นคนในช่วงกลางเดือนสิงหาคมนี้ และเริ่มทรงตัวในช่วงกลาง-ปลายเดือนสิงหาคม และเริ่มมีสัญญาณการปรับตัวลดลงในช่วงเดือนกันยายน จะส่งผลให้มาตรการล็อกดาวน์ น่าจะเริ่มผ่อนคลายได้บางส่วนในช่วงไตรมาส 4 เป็นต้นไป กรณีนี้เศรษฐกิจไทยในปีนี้น่าจะไม่เติบโตแต่ก็ไม่ติดลบ
กรณีเลวร้าย (Worst Case)
หากจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ทะลุหลัก 25,000 คนต่อวัน โดยที่ไม่ลดลงถึงปลายเดือนสิงหาคม ส่งผลให้ต้องใช้มาตรการล็อกดาวน์ที่ยืดเยื้อกินเวลานานจนถึงเดือนกันยายนหรือมากกว่านั้น มีความเสี่ยงสูงที่เศรษฐกิจไทยจะกลับสู่ภาวะถดถอยในปีนี้ และจะเป้นการถดถอย 2 ปีซ้อน
หากเกิดกรณีเลวร้าย มีการคาดการณ์ว่า ดัชนีมีโอกาสหลุด 1,500 จุด
ข้อมูลสำคัญที่สุด ที่จะพาให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากกรณีเลวร้ายได้ ในระยะสั้นมีเพียง 2 ตัวแปร
- จำนวนผู้ติดเชื้อโควิดรายใหม่
เราต้องเอาใจช่วยให้มาตรการได้ผล กดจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ให้ลดลง ภายในปลายเดือนสิงหาคม หาไม่แล้ว การคลายล็อคดาวน์คงไม่สามารถเกิดขึ้นได้
- จำนวนการฉีดวัคซีนต่อวัน
เราต้องเอาใจช่วยให้มีจำนวนวัคซีนที่มากพอ และฉีดได้จำนวนเฉลี่ยต่อวันมากกว่า 550,000 โดส ซึ่งจะทำให้เราไปถึงเป้าหมาย 100 ล้านโดสก่อนสิ้นปีได้
ถ้าทั้งสองตัวแปรนี้ มีพัฒนาการที่ดีขึ้นในช่วงปลายเดือนสิงหาคม เชื่อว่านี่จะเป็น “จุดเปลี่ยนเกม” ของตลาดหุ้นที่สำคัญ สร้าง sentiment เชิงบวกให้กับตลาดทุนได้
และสามารถมองหุ้นธีม Reopening หรือ หุ้นเปิดเมืองได้อีกครั้ง
===================================================