#แนวคิดด้านการลงทุน

บทเรียนจาก Bear Market

โดย stock2morrow
เผยแพร่:
104 views

งานเขียนเรื่อง A History of Bear Market Bottoms จากเว็บไซด์  theirrelevantinvestor.com ได้เล่าเรื่องประวัติศาสตร์ "การปรับฐาน" อย่างหนักของดัชนีดาวโจนส์ตั้งแต่ปี 1970 จนถึงปัจจุบัน

อ่านแล้วได้แนวคิดที่น่าสนใจ อยากจะนำมาแชร์ 10 ข้อ แบบนี้ครับ

 

1. ตั้งแต่ปี 1970 - ปัจจุบัน มีตลาดหมีมากกว่า 50 ครั้ง แต่ทุกครั้งตลาดก็จะกลับมาเสมอ ถ้าไม่อย่างนั้นดัชนีดาวโจนส์จะวิ่งขึ้นมาแตะระดับ 35,000 จุด ได้อย่างไร ทั้งทีในปี 1970 ดัชนีดาวโจนส์อยู่ระดับ 600 - 700 จุดเท่านั้นเอง


2. การตกแต่ละครั้ง ไม่มีใครรู้ล่วงหน้า และไม่มีใครขายหุ้นหมดพอร์ตก่อนที่ตลาดหุ้นจะเป็นตลาดหมี


3. การตกแต่ละครั้ง จะมีเหตุผลใหม่ๆมาอธิบายอยู่เสมอ เช่นในปี 1970 เป็นช่วงวิกฤตหุ้นกลุ่ม 50 บริษัทยักษ์ใหญ่ที่เรียกว่า Nifty Fifty มีราคาสูงจนเกินไป
... ในช่วงปี 1990 เกิดวิกฤต Enron ทำให้ตลาดหุ้นซบเซา นักลงทุนขาดความเชื่อมั่น
... ช่วงปี 2000 เกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ วิกฤต Lehman Brother วิกฤตพันธบัตรรัฐบาลของ Salomon Brother เป็นต้น จะเห็นได้ว่ามีเหตุการณ์ใหม่ๆเกิดขึ้นอยู่เสมอ


4. ทำเงินในตลาดหุ้น "ไม่ง่าย" ไม่ว่าจะเป็นนักเก็งกำไร หรือลงทุนระยะยาว


5. ไม่มีใครรู้จุดต่ำสุดของตลาด หรือแม้แต่ "รูปแบบกราฟ" ที่บ่งชี้ได้ว่าตลาดหุ้นกลับตัวแน่นอน
เช่นในปี 1970 หุ้นตกลงมามากกว่า 36% กินเวลาถึง 4 เดือน อยู่ที่ 650 จุด ก่อนที่จะกระโดดพุ่งขึ้นมาอย่างแรงเป็น 700 จุด ภายในวันเดียว หุ้นก็ไม่เคยกลับไปแตะที่ 650 จุดอีกเลย

ในเดือนมีนาคม ปี 1980 หุ้นลงมากถึง 20.5% จนถึงเดือนเมษายน ไซด์เวย์ต่ออีก 1 เดือน
นักวิเคราะห์ในวอล์สตรีทวิเคราะห์ว่าดาวโจนส์กำลังจะเจอกับตลาดหมีรอบใหม่
... หลังจากนั้นดัชนีดาวโจนส์ได้พุ่งอย่างแรงถึง 4.9% เรียกได้ว่าเป็นการพุ่งขึ้นอย่างแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ดัชนีดาวโจนส์ (The Greatest Bull Markets in history.)

ในปี 1984 ดัชนีเปิดปีใหม่ด้วยการร่วงลงมาแรงถึง 16.9% กินเวลานานถึง 8 เดือนเต็ม คนในตลาดเต็มไปด้วยความหดหู่ มองไปที่ไหนก็มีแต่คนขายหุ้น
พอเข้าสู่เดือนสิงหาคม ดัชนีดาวโจนส์ได้พุ่งกลับขึ้นไปอย่างแรงใน 4 วัน ก่อนจะไซด์เวย์ไปจนจบปี
นักวิเคราะห์กล่าวว่าการกลับตัวรอบนี้เกิดจากกราฟทำรูปแบบ Triple Bottom อย่างที่เคยเกิดมาแล้วในอดีต (โดยไม่รู้ว่าอดีตตรงไหน ?)


ช่วงปี 1970 คือช่วงตลาดหมีครั้งใหญ่สุดในประวัติศาสตร์ดัชนีดาวโจนส์ สุดท้ายมันก็กลับมาได้ และทำ New High ที่ระดับ 35,000 จุด ในปัจจุบัน
Photo From :
https://www.macrotrends.net/1319/dow-jones-100-year-historical-chart
 


6. การไม่มีหุ้นในวันที่หุ้นลงแรงอาจจะเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าเราไม่มีหุ้นในวันที่หุ้นพุ่งขึ้นอย่างแรงซึ่งใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน เป็นเรื่องที่น่าเสียดายยิ่งกว่า
เช่นช่วงครึ่งปีหลังของปี 1984 จะมีเพียงเดือนสิงหาคมเท่านั้น (จากทั้งหมด 6 เดือน) ที่ดัชนีดาวโจนส์จะพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง และในเดือนสิงหาคมที่มี 31 วัน จะมีเพียง 4 วันเท่านั้นที่ดัชนีพุ่งขึ้นอย่างแรง

 

7. กราฟหุ้นอาจจะบ่งบอกเรื่องราวของหุ้นตัวนั้นๆ รวมถึงอารมณ์กล้าและกลัวของคนในตลาด แต่ไม่ได้ใช้สำหรับทำนายอนาคตได้เลย


8. คนทุกคนมี IQ มากเพียงพอที่จะเข้าใจพื้นฐานของหุ้นตัวนั้นๆ แต่กลับไม่ได้มีความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) มากเพียงพอ ที่จะกล้าซื้อในขณะที่คนอื่นกลัว หรือขายออกไปในขณะที่คนอื่นกำลังกล้า
พูดง่ายๆคือ IQ ในการเลือกหุ้นเป็นสิ่งสำคัญ แต่ความฉลาดทางอารมณ์หรือ EQ เป็นเรื่องสำคัญกว่า


9. เราห้ามไม่ให้ตลาดหุ้นลงได้ แต่เราเตรียมพร้อมมากแค่ไหนกับการลงของหุ้น เช่นนักเก็งกำไรอาจจะหาจุดคัตลอสและขายทิ้งทำตามวินัย นักลงทุนอาจจะซื้อหุ้นที่มี Margin of Safety มากและการลงของหุ้นอาจจะเป็นโอกาสที่ดีในการซื้อเพิ่มพร้อมกับรับปันผลในอัตราที่มากขึ้น


10.  ถึงแม้ตลาดจะลงหนักขนาดไหน แต่สุดท้ายแล้วจะจบด้วยการขึ้นอย่างแรง และทำจุดสูงสุดใหม่เสมอ

 

นี้ก็เป็นเรื่องราวที่อยากนำมาแชร์ให้ได้อ่านกันครับ ...
ถ้าใครสนใจอยากจะอ่านฉบับเต็มก็อ่านได้ที่นี้เลยครับ A History of Bear Market Bottoms


ศูนย์รวมความรู้เรื่องหุ้น ศูนย์รวมนักลงทุนรายย่อย ที่อยากรู้วิธีการลงทุนในหุ้นอย่างถูกต้องและได้กำไรอย่างยั่งยืน ติดตามเราได้ที่

www.stock2morrow.com 

FB: stock2morrow 

LINE@stock2morrow

FacebookInstagramYoutubeLine

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง