3 ปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนการเติบโตของ TNP ตลอดเวลาที่ผ่านมาคือ
1. เปิดสาขาใหม่
2. บริหารจัดการมาร์จิ้นให้ดี
3. มาตรการภาครัฐที่ใส่เงินตรงถึงมือประชาชน
ข้อแรก ทำได้ดี ปีที่แล้วเปิด 4 สาขา ส่วนใหญ่ปลายปี และปีนี้เปิด 2 สาขา ทำให้ยอดขายเพิ่มได้เยอะ และจะเปิดเพิ่มอีก 3 สาขา โดยปกติใช้เวลาประมาณ 6 เดือน ก็คุ้มทุนแล้ว
ข้อสอง อันนี้ก็ดี เราจะเห็นว่า GPM และ NPM เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุด GPM 17.89% ยังเพิ่มต่อ และ NPM 7.22% เริ่มลดนิดหน่อย สิ่งที่ TNP ทำให้มาร์จิ้นเพิ่มก็คือ ซื้อของเพิ่มได้ส่วนลด ซื้อของเยอะตามเป้า ได้ rebate ซื้อเงินสดบ้างก็ได้ลดอีก และได้เงินสนันสนุนจาก supplier เจ้าต่างๆ ในการขายสินค้า
ข้อสาม เรื่องนี้สำคัญ โดยเฉพาะเงินที่เข้าบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ถ้าเราบังเอิญไปเห็นตอนต้นเดือนคนแน่นๆ อย่าเหมาว่าทั้งเดือนจะขายดีแบบนี้ แต่เป็นเพราะพฤติกรรมผู้บริโภคมาซื้อทีเดียวตอนเงินเข้า แล้วค่อยมาใหม่อีกทีเดือนหน้า ทำให้เราเห็นว่ายอดซื้อต่อบิลสูง แต่จำนวนบิลลดลง แปลว่า มาไม่บ่อย แต่มาทีซื้อเยอะตุนไว้เลย
ประเด็นของ Q2’21 เราจะเห็นว่ายอดขายเหลือแค่ 604 ล้านบาท เพราะว่าเงินกระตุ้นต่างๆ ไปอัดอยู่ที่ Q1 กันหมด ทำให้ยอดขาย Q1 ทะลุไปที่ 752 ล้านบาท
แต่เงินเริ่มหมดลงตอนต้น Q2 และกลับมาอีกทีวันที่ 20 พฤษภาคม ยอดขาย Q2 เลยแผ่ว SSSG ทำได้แค่ 8.2% จากฐานที่ไม่สูงมากนักเมื่อปีที่แล้ว คนเข้าร้านน้อยลงด้วย
Q3’21 เริ่มเห็น TNP ให้ใช้คนละครึ่งได้แล้ว ต้องดูว่าจะมาช่วยเพิ่มยอดได้เยอะมั้ย แต่ก็ต้องบอกว่าจำนวนเงินไม่ได้เยอะเหมือนรอบปีที่แล้ว
โดยสรุป ภาพอนาคตที่พอจะมองเห็นคือ เปิดสาขาใหม่เพิ่มน่าจะทำได้ดีต่อเนื่อง อัตรากำไรยังไปได้ต่อ แม้ว่าจะเริ่มเห็น NPM นิ่งๆ แถวๆ 7% ส่วนมาตรการภาครัฐก็ต้องบอกว่า ก่อนหน้านี้จัดหนักจัดเต็ม TNP ได้ประโยชน์เยอะมาก แต่ต่อจากนี้ไปอาจจะไม่ได้มากมายเมื่อเทียบกับของเดิมแล้ว เราสังเกตได้จากจำนวนบิลและยอดซื้อต่อบิลได้
ต้องดูว่า TNP จะมีกลยุทธ์เด็ดอะไรเพิ่มเติมอีกมั้ย เห็นทำรถโมบาย พาณิชย์ ขายสินค้าตามตลาด เทศบาล หน้าโรงพยาบาล และก็เห็นว่าจะทำ delivery ทำ online แล้วก็ยังคงจะขยายไปจังหวัดอื่นในภาคเหนือเพิ่มเติม ต้องติดตามครับว่า ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร