ตัวเลขผู้ติดเชื้อจาก 5,000 - 6,000 คน ขึ้นมาเป็น 17,000 - 18,000 คน ภายในเวลาเดือนเดียว
ตัวเลขผู้ป่วยหนักเกือบ 5,000 คน และต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ 1,000 คน
และยังไม่มีทีท่าว่าจะลดลงได้ง่ายๆ
ขณะที่ตัวเลขการฉีดวัคซีนอยู่ที่ประมาณ 18 ล้านโดส (เข็มที่ 1 = 14 ล้านโดส เข็มที่ 2 = 4 ล้านโดส)
และ SET Index ก็ลงมาอยู่ที่ระดับ 1500 ต้นๆ ซึมลงอยู่เรื่อยๆ จนนักลงทุนเริ่มหวั่นใจว่าจะทำอย่างไรดี จะ cut loss ก็กลัวเด้งใส่หน้า จะซื้อก็กลัวหุ้นลงต่อ จะเปลี่ยนตัวก็กลัวไปเจอที่แย่กว่า
วันนี้วิตามินหุ้นมานำเสนอไอเดียการลงทุนช่วงวิกฤตแบบนี้กันครับว่าทำอย่างไรดี
- ถือหุ้นข้ามวิกฤต
หลายครั้งที่พอวิกฤตผ่านไป หุ้นที่ดีมีความแข็งแกร่งหลายตัวก็จะกลับมายืนที่ราคาเดิม หรือปรับตัวสูงขึ้นได้ ถึงแม้ว่าช่วงวิกฤตราคาจะลงแรงจนเราแทบไม่อยากเปิดดูพอร์ตเพราะมันมีแต่สีแดง ที่สำคัญไม่มีเงินสดเหลือแล้วด้วย
ถ้าเราวิเคราะห์ดีแล้วว่าหุ้นเราดี แข็งแรง ไม่ล้มหายตายจาก หรือกระทบทางตรงรุนแรงจาก COVID เราวิเคราะห์ดีแล้วว่าบริษัทเตรียมแผนการอย่างดี โอกาสเติบโตในอนาคตมีได้ แค่รอสถานการณ์คลี่คลาย ถ้าเป็นแบบนี้เราก็อาจถือข้ามไปเลยก็ได้ ซึ่งแน่นอนว่าต้องใช้เวลา และความอดทนอย่างมากที่จะไม่หมดกำลังใจไปเสียก่อน
- ซื้อหุ้นดี ราคาถูก ที่ไม่เจ๊ง รอวันผ่านพ้นวิกฤต
หุ้นหลายตัวที่ราคาลงเยอะตามวิกฤต งบยังไม่ดี P/E ต่ำสิบ P/BV ต่ำหนึ่งเท่า เทรดอยู่ที่ -1SD, -2SD เช่น หุ้นในกลุ่มธนาคาร อสังหาริมทรัพย์ ICT เป็นต้น ถ้าเราเชื่อโดยดูจากประวัติศาสตร์ในอดีตที่ผ่านมาว่า พอจบวิกฤต พอเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว หุ้นกลุ่มนี้ก็จะกลับมาได้ ถ้าคิดแบบนี้ตอนนี้ที่หุ้นราคาลงมาเยอะก็จะเป็นโอกาส
แต่สำคัญ คือ เราต้องมั่นใจว่า หุ้นที่เราจะซื้อ ต้องไม่เจ๊ง ต้องมีงบดุลที่แข็งแรง บาดเจ็บแค่ชั่วคราว กำลังรอปัจจัยบวกเข้ามาช่วย สุดท้ายก็จะฟื้นขึ้นมาได้
- ซื้อหุ้นที่ได้ประโยชน์ในวิกฤต
ไม่ใช่ว่าหุ้นทุกตัวจะลงหมด มีหุ้นหลายตัวที่ปรับตัวขึ้นอยู่เช่นกัน เราอาจจะเห็นว่า GDP ปีที่แล้ว -6% ปีนี้คาดการณ์ว่าอาจจะไม่ถึง 1% ถ้าเรามองแต่ภาพใหญ่ เราก็จะรู้สึกว่าเศรษฐกิจไม่ดี แต่ถ้าเรามองที่รายละเอียด เราก็จะเห็นว่า ส่งออกยังดี ขนส่งยังดี รายได้ภาคเกษตรยังดี เพราะการค้าโลกฟื้น เพราะตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลน
เราก็มาลองลงรายละเอียดเชิงลึกมากขึ้นว่าจะซื้อหุ้นกลุ่มไหนดี เช่น อิเล็กทรอนิกส์ โลจิสติกส์ สินค้าเกษตร เครื่องจักรทางการเกษตร อาหารทะเล อาหารสัตว์เลี้ยง เกมส์ เลนส์แว่นตา แต่มีข้อแม้ที่ว่า
- ราคายังมี upside อยู่ ไม่ได้ขึ้นจนเต็มมูลค่าของการเติบโตที่ควรจะเป็นแล้ว
- ไม่ใช่เป็นหุ้นที่เปราะบางเกินไป ที่ใครๆ ก็รู้ว่าจะดีเมื่อไหร่ และจะแย่เมื่อไหร่
- ไม่ได้มีข้อจำกัดเฉพาะตัวที่แก้ไขไม่ได้ เช่น กำลังการผลิตเต็ม ขึ้นกับต้นทุนวัตถุดิบที่ผันผวนจนคุมไม่ได้ ขึ้นกับกฎระเบียบที่อาจเป็นจุดตายของธุรกิจได้
- ซื้อหุ้นที่เติบโต แม้ว่าจะเกิดวิกฤต
หุ้น Growth Stock ที่เติบโตได้ตลอด ไม่ว่าจะมีวิกฤตหรือไม่ก็ตาม ถ้าเราลองขุดหาดีๆ ก็จะมีหุ้นแบบนี้อยู่เสมอ เพียงแต่ว่าอาจจะไม่ได้เยอะเท่าไหร่ แต่ถ้าหาเจอก็จะช่วยให้เราทำผลตอบแทนได้ดีในช่วงสถานการณ์แบบนี้ เช่น หุ้นอาหารและเครื่องดื่มบางประเภท หุ้นอสังหาแนวราบ หุ้นวางระบบ Data Center หุ้นโรงพยาบาลบางแห่ง หุ้นสื่อบางช่อง เป็นต้น
- เก็งกำไร ธีมเปิดเมือง
เพราะว่าเราเจอกับ COVID มาแล้ว 2 รอบ และทุกครั้งที่เหตุการณ์ดีขึ้น มีการคลาย lock down หุ้นหลายตัวที่โดนผลกระทบโดยตรงก็จะมีแรงเก็งกำไรกลับมาทุกครั้ง เช่น ห้างสรรพสินค้า โรงหนัง ร้านอาหาร ร้านค้าปลีก นิคมอุตสาหกรรม เป็นต้น หลักการก็คือ ตอนเห็นตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่ม คนก็กลัว ร้านค้าก็ปิด หุ้นก็เลยตก และไม่มีใครกล้าซื้อ แต่พอเหตุการณ์สงบ ทุกคนผ่อนคลาย ราคาหุ้นก็ดีดตัวกลับมา แปลว่า เราต้องหาจังหวะในการซื้อช่วงตรงกลางที่ราคายังไม่ขึ้น เป็นการดักซื้อล่วงหน้า แต่ก็มีข้อควรระวัง คือ
- ต้องซื้อหุ้นให้ถูกตัวแม้ว่าอยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน ไม่ใช่หว่านไปหมดทุกตัวที่ได้รับผลกระทบ เพราะการบริหารจัดการไม่เหมือนกัน บางร้านอาหารอาจจะขาดเงินสด ยืนระยะไม่ไหว เจ๊งไปก่อนได้ บางร้านค้าสต๊อกสินค้าเยอะจนตกรุ่นหรือเสียหายขาดทุนก็มี
- ถ้า COVID ยืดเยื้อและรุนแรง หุ้นก็จะยังไม่กลับขึ้นไปเร็ว เผลอๆ ลงต่อด้วยซ้ำ แปลว่าเราต้องประเมินสถานการณ์อย่างรัดกุม
- อย่าคาดหวังว่าหุ้นจะเด้งแรงๆ มากๆ เพราะหลายคนรู้แล้ว จากอดีตที่ผ่านมา ทำให้ดักซื้อกันหมด หุ้นก็เลยไม่เด้งแรงเท่ากับครั้งก่อนหน้า
ทุกวิกฤตมีโอกาส อย่างเปลี่ยนโอกาสให้กลายเป็นวิกฤตที่หนักกว่าเดิม
ค่อยๆ คิด ค่อยๆ พิจารณา วางแผนการลงทุนอย่างรัดกุม
คิดหาทางรอดก่อน แล้วค่อยคิดหาทางทำกำไร
ลงทุนอย่างมีสติ แล้วเราจะรอดจากวิกฤตครับ