ปัจจัยการลงทุนและเศรษฐกิจเดือนสิงหาคมนี้ ดูบีบหัวใจไม่น้อยเลย
>> โควิดแพร่ระบาดที่รุนแรงและยาวนานกว่าที่คาด
>> ผลกระทบจากมาตรการปิดเมืองต่อการบริโภคและการลงทุนรุนแรงกว่าที่ประเมินไว้ตอนต้นปี
>> การออกมาตรการสนับสนุน(ทางเศรษฐกิจ)ทำได้น้อยกว่าคาด ไม่เพียงพอต่อลมหายใจธุรกิจทั้ง SME และฐานราก
ผลอย่างเป็นรูปธรรมต่อตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆก็จะเริ่มมา
1. วานนี้ ค่าเงินบาทอ่อนแตะ 33.24 บาทต่อดอลลาร์
เงินบาทยังอ่อนค่าต่อเนื่องอย่างรวดเร็ว เม็ดเงินลงทุนยังคงโยกเงินออกจากประเทศอย่างต่อเนื่อง เพราะความกังวลต่อสภาพเศรษฐกิจไทย อีกทั้งภาคท่องเที่ยวที่เคยเป็นพระเอก เรียกเนื้อเรียกปลา ให้ประเทศไทย ตอนนี้ดับสนิท ทั้งเที่ยวนอกเที่ยวในประเทศ
2. แรงขายออกของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นไทย ยังคงต่อเนื่อง ใกล้แตะ 100,000 ล้านบาทเข้าไปทุกที (เป๊ะๆ = 99,352 ล้านบาท) เม็ดเงินลงทุนสถาบันในประเทศก็ไม่เข้า
3. การปรับตัวเลขคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจ ทั้ง GDP ลง และกำไรบริษัทจดทะเบียน EPS ในตลาดหุ้นไทยลง
ในเชิงการลงทุน
ผมถึงขั้นไปหาหนังสือการลงทุน ที่กล่าวถึงช่วงต้มยำกุ้งเมื่อ 24 ปีก่อน มาอ่านทบทวนอีกครั้ง
ตอนนั้นบาทอ่อนมากๆ และเงินต่างชาติไหลออกจากตลาดหุ้นจนวอลุ่มเหือดแห้ง
รอบนั้นไทยเราแย่มากๆจริงๆ ดัชนีตลาดหุ้นตกต่ำยาวนาน 4 ปี
แต่เชื่อไหมว่า ก็ยังมีหุ้นบางกลุ่มที่ลงทุนได้ Selective Buy ถือได้
หนึ่ง... หุ้นส่งออก (อานิสงส์บาทอ่อน)
สอง... หุ้นจ่ายปันผลสูง (เศรษฐกิจไม่ดี การลงทุนจำกัด จ่ายปันผลสูง)
รอบที่แล้ว เล่าแบบสั้นๆก็ประมาณนี้
จะลองใช้ท่าเดิม หรือ
จะกระจายเงินไปลงทุนต่างประเทศบางส่วน (มีทั้งกองประเทศ กองทวีป กองธีม ฯลฯ)
ก็ถือเป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจ
ยังขอมีความหวังว่า ไทยเราจะพลิกเกมได้ภายในปลายไตรมาส 3 เต็มที่ก็อย่าให้เกินต้นไตรมาส 4
ขอเปิดเมืองได้แบบยุโรปช่วงบอลยูโร
ได้ก่อนสิ้นปีนี่จะดีใจมากๆครับ