หุ้นแบงค์ 10 ธนาคาร ประกาศงบครบหมดแล้ว กำไรสุทธิ 51,265 ล้านบาท +69.1% YoY +9.9% QoQ
เรียกได้ว่า ตัวเลขดูดีทีเดียว แต่เหตุใดราคาหุ้นไม่ตอบรับในทางบวกมากนัก เหตุผลหลักๆ ก็คือ
1. มีรายการพิเศษที่ BAY ขายหุ้น TIDLOR ตอนเข้าตลาด 10,727 ล้านบาท (ก่อนภาษี) ถ้าตัดออกไป กำไรยังโต YoY แต่จะโตลดลงน้อยกว่า Q1
2. Q2’20 มีการตั้งสำรองสูงมากถึง 73,917 ล้านบาท เพื่อรองรับผลจาก COVID รอบแรก แต่ Q2’21 ตั้งสำรอง 55,636 ล้านบาท ลดลง 24.8% YoY แต่ในแง่ของตัวเลขก็ดูไม่น้อยเลย และเพิ่มมากว่า Q1 อยู่ 12.8% ทำให้คาดกันต่อว่า Q3 อาจตั้งสำรองเพิ่มกว่านี้ได้
3. หลายธนาคารปรับเป้า GPD ลงมากันเยอะ เช่น KBANK 1% SCB 0.9% KKP 0.5% จากฐานปีที่แล้วที่ -6.1% และคาดการณ์ว่ากว่าจะกลับไปเท่าช่วงก่อน COVID ก็น่าใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 2 ปี
เมื่อดูภาพรวมแล้ว กำไรของกลุ่มแบงค์จึงเป็นภาพที่ว่าค่อยๆ ฟื้นมาเรื่อยๆ จากปีที่แล้วจนมาถึง Q1 ปีนี้ เริ่มแผ่วลงใน Q2 และอาจจะลงต่อใน Q3 ได้อีก เพราะว่า COVID รอบ 3 ยืดเยื้อ และรุนแรง การตั้งสำรองน่าจะเพิ่มขึ้นอีก รวมไปถึงรายได้ค่าธรรมเนียม (ปิดแบงค์ การทำประกัน ซื้อกองทุนจะลดลง) และกำไรเงินลงทุนก็น่าจะลดลงตามสภาวะตลาดที่ซบเซา
ทีนี้ถ้าเรามาเจาะหุ้นแต่ละแบงค์ว่าเป็นอย่างไรกันบ้างแบบรวบรัด เราจะเห็นภาพแบบนี้ครับ
KBANK
>> กำไรสุทธิ 8,894 ล้านบาท (+309% YoY, -16.3% QoQ แย่กว่าคาด 3.6%) >> ดีหรือแย่กว่าคาดเทียบกับ Bloomberg Consensus
>> ประเด็นหลักเลยคือ ปีที่แล้วตั้งสำรอง 2 หมื่นล้านบาท ปีนี้ตั้ง 1 หมื่นล้านบาท กำไรเลยโตเยอะมาก
>> สินเชื่อเติบโต 3.5% QoQ (ตอนนี้สัดส่วนสินเชื่อที่ใหญ่ที่สุดคือ Corporate ไม่ใช่ SME นะครับ) NIM ค่อยๆ ดีขึ้น รายได้ดอกเบี้ยเลยโต
>> รายได้ไม่ใช่ดอกเบี้ยทั้งค่าธรรมเนียมและกำไรเงินลงทุนลดลง แนวโน้ม Q3 ก็น่าจะลงต่อ
>> เริ่มเห็นการเพิ่มขึ้นของ stage 2 และ 3 บ้างแล้ว
>> ในแง่ของการตั้งสำรอง จาก Analyst Meeting ดูแนวโน้มตั้งต่อเนื่อง แต่ที่ต้องระวัง คือ Q4 ปีที่แล้วตั้งแค่ 669 ล้านบาท แปลว่าถ้า COVID ลากยาว และ KBANK จำเป็นต้องตั้งสำรองเยอะ ก็จะกระทบกับงบได้
BBL
>> กำไรสุทธิ 6,357 ล้านบาท (+105% YoY, -8.2% QoQ ดีกว่าคาด 7.6%)
>> งบคล้าย KBANK ต่างกันที่ BBL มีรายได้ค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้น
>> ปีที่แล้วตั้งสำรอง 13,000 ล้านบาท ปีนี้เกือบหมื่นล้านบาท กำไรเลยขึ้นมาจากตรงนี้เยอะ
>> สินเชื่อ +2.2% ลูกค้า corporate ยังโตได้ แต่ NIM เริ่มแผ่วลง เพราะระมัดระวังในการปล่อยมากขึ้น และเข้าใจว่าน่าจะมีผลของ Permata Bank จากอินโดนีเซีย เข้ามากระทบด้วย
>> Stage 3 เริ่มขยับขึ้นมาบ้างเหมือนกัน
SCB
>> กำไรสุทธิ 8,815 ล้านบาท (+5.4% YoY, -12.6% QoQ ดีกว่าคาด 15.6%)
>> ภาพสลับกับ KBANK คือ รายได้ดอกเบี้ยไม่โต แต่รายได้ค่าธรรมเนียมโตได้ดี สินเชื่อโตน้อย NIM ลดลงมาเรื่อยๆ เพิ่งจะยืนได้รอบนี้
>> การตั้งสำรองปีที่แล้วไม่ได้ตั้งเยอะ 9,700 ล้านบาท ปีนี้ตั้ง 10,000 ล้านบาท เราเลยเห็นกำไรโตไม่มาก แต่ข้อดีคือ Q3, Q4 ปีที่แล้วตั้งสำรองไว้สูง จากโทนของ Analyst Meeting ผู้บริหารมองว่าอาจจะไม่ได้ตั้งเพิ่มมากนัก แปลว่า จะกลายเป็นบวกจากฐานสูงของปีที่แล้ว
>> การคุมค่าใช้จ่ายทำได้ดีกว่า KBANK และ BBL ดูเหมือนว่าการเอาดิจิตอลเข้ามาใช้ การปิดสาขา การลดพนักงาน เริ่มส่งผลบวกต่อค่าใช้จ่าย
>> การควบคุม NPL ทำได้ค่อนข้างดี
KTB
>> กำไรสุทธิ 6,011 ล้านบาท (+60% YoY, +7.8% QoQ ดีกว่าคาด 24.5%)
>> กำไรโตเยอะ เพราะตั้งสำรองปีที่แล้วเกือบ 15,000 ล้านบาท หลักๆ มาจากการบินไทย ส่วนปีนี้เหลือ 8,000 ล้านบาท ลดลงไปเยอะ
>> สินเชื่อโตได้ดี +5.4% มาจากโครงการภาครัฐบาล เราก็พอจะเดาได้ว่า ในอนาคตน่าจะเพิ่มขึ้น แต่ต้องดูความต่อเนื่องว่าจะมาได้ทุกไตรมาสมั้ย ที่สำคัญ NIM อาจจะไม่สูงมากนัก
>> รายได้ค่าธรรมเนียมลดลง กำไรเงินลงทุนลดลง
BAY
>> กำไรสุทธิ 14,543 ล้านบาท (+123% YoY และ QoQ ดีกว่าคาด 27%)
>> ถ้าตัดเรื่องขายหุ้น TIDLOR ออกไป กำไรจะเหลือแค่ 6,357 ล้านบาท ลดลงจากปีที่แล้วนิดหน่อย
>> รายได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ สินเชื่อลดลงทั้ง Retail และ Corporate แนวโน้ม NIM ก็ลดลงด้วย
>> การตั้งสำรองไม่ต่างจากปีที่แล้วมาก
TISCO
>> กำไรสุทธิ 1,666 ล้านบาท (+25.3% YoY, -5.5%QoQ ดีกว่าคาด 1.4%)
>> ตั้งสำรองเผื่อไว้เยอะแล้ว รอบนี้เลยตั้งลดลง
>> แต่ค่อนข้างระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ ทำให้รายได้ตรงนี้ไม่โต ส่วนรายได้ค่าธรรมเนียม กำไรเงินลงทุนเพิ่ม
>> เป็นหุ้นที่จ่ายปันผลจ่ายครั้งเดียว จ่ายมากที่สุดในกลุ่ม ถ้าราคาลงเยอะน่าสนใจ
KKP
>> กำไรสุทธิ 1,354 ล้านบาท (+14.4% YoY, -7.4% QoQ แย่กว่าคาด 6.6%)
>> Surprise ตลาดที่ตั้งสำรองเยอะกว่าคาด ทำให้กำไรโตน้อยลง
>> แต่รายได้ดีทั้งดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม สินเชื่อโตดีได้ตลอด ขาดทุนรถยึดลดลง
>> สิ่งที่ต้องตามคือ ตั้งสำรองจะเพิ่มอีกมั้ย ขาดทุนรถยึดปีที่แล้วฐานต่ำ ปีนี้จะเป็นอย่างไรต่อ และต้นปีมีดีลหุ้นใหญ่เข้าตลาด ครึ่งปีหลังจะมีมากเหมือนกันหรือเปล่า
>> ปันผลดีรองจาก TISCO
TTB
>>กำไรสุทธิ 2,534 ล้านบาท (-18% YoY, -9% QoQ ดีกว่าคาด 8.6%)
>>รายได้ลดทั้งดอกเบี้ยและไม่ใช่ดอกเบี้ย สินเชื่อโตลดลง ตั้งสำรองเพิ่ม
>>ลดพนักงาน และลดสาขาไปได้พอสมควรแล้ว
>>เป็นหุ้นที่น่าติดตาม แต่ต้องรอเวลาพิสูจน์ผลของการ synergy
LHFG
>> กำไรสุทธิ 478 ล้านบาท (-4.7% YoY, -14.8% QoQ แย่กว่าคาด 6%)
>> เกือบดีแล้ว รายได้เพิ่ม ค่าธรรมเนียมเพิ่ม แต่กำไรเงินลงทุนลดลง
>> มีประเด็นน่าสนใจคือ CTBC แบงค์จากไต้หวันที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่จะขอซื้อหุ้นเพิ่ม 11% วงเงิน 4200 ล้านบาท คิดเป็น ราคา 1.80 บาท สูงกว่ากระดานเยอะมากๆ แปลกใจว่าเมื่อปี 2016 เข้ามาซื้อที่ 2.20 บาท ผ่านไป 5 ปี ไม่แน่ใจว่ามองเห็นอะไร ถึงขอซื้อเพิ่มอีก
CIMBT
>> กำไรสุทธิ 613 ล้านบาท (+100% YoY, +80% QoQ)
>> กำไรเงินลงทุนเพิ่ม คุมค่าใช้จ่ายพนักงานดี แต่สินเชื่อไม่เติบโต เป็นหุ้นที่กำไรขึ้นลงไม่แน่นอน
>> หุ้นกลุ่มแบงค์เวลานี้ พื้นฐานแข็งแกร่ง ไม่น่าจะล้มง่าย NPL เพิ่มแต่ยังรับไหว เงินกองทุนพอเพียง จ่ายปันผลได้สบาย P/E, P/BV ก็ลงมาต่ำมาก -1.5, -2SD ก็มีหลายธนาคาร
>> หุ้นแบงค์จะขึ้นตามความคาดหวังเศรษฐกิจ ถ้าเมื่อไหร่มีแนวโน้มว่าจะดี หุ้นก็พร้อมจะขึ้นได้ คำถามคือ เมื่อไหร่มากกว่า
และคนที่จะซื้อหุ้นกลุ่มนี้ ต้องลงทุนอย่างใจเย็น ด้วยเงินเย็น และรอผลลัพธ์ได้
ใครสนใจลองทำการบ้านเพิ่มเติมกันดูนะครับ วิตามินหุ้นเพียงให้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจเท่านั้น อย่าลืมว่าการลงทุนมีความเสี่ยง โปรดพิจารณาอย่างรอบคอบทุกครั้งก่อนตัดสินใจ