ในปรัชญาจีน ที่ว่า หยิน-หยาง รวมเป็น หนึ่ง ในหยางซ่อนหยิน ในหยินมีหยาง เมื่อหยางถึงที่สุดแล้วต้องกลับเป็นหยิน และเมื่อหยินดำเนินไปถึงที่สุดแล้ว ต้องกลับเป็นหยาง หยินหยาง ดำเนินสลับเปลี่ยนแปลงสอดคล้องไม่ขาดตอน เสมือนไร้รูปแบบ แต่กลับซ่อนรูปแบบไว้ภายใน
คนที่ไม่รู้ Technical เมื่อมาดูกราฟราคาแล้ว ย่อมมองไม่ออกว่า กราฟ นั้นสื่ออะไร ให้เห็น จะเห็นแต่แท่งแดง-เขียว ที่ขึ้นลงไปตามสภาพ ดูไปช่างไร้รูปแบบเหลือเกิน ความรู้สึกของผม ก่อนเข้าตลาดหุ้น ก็ไม่ต่างกันกับคนเหล่านั้น แต่เมื่อได้ มาเรียนรู้ Technical Trade แล้ว พบว่า ชีวิตของ Technical Trader ที่แขวนไว้บน แท่งกราฟราคานั้น คงไม่ต่างกันกับ ผู้ที่แยกแยะ หยินและหยาง ในสภาวะได้
หยาง คือ เคลื่อนไหว ก่อกำเนิด ประดุจ กราฟราคา ที่มีทิศทาง - Direction
หยิน คือ สงบนิ่ง พักผ่อน เป็นดัง กราฟราคา ที่ ไม่มีทิศทาง - Non-Direction
การก่อเกิดสลับเปลี่ยนแปลงของหยิน-หยาง ฉันใด กราฟราคา Direction และ Non-Direction ก็สลับปรับเปลี่ยนกันไปตามสภาพของตลาด ใน Direction ยังซ่อน Non-Direction ไว้ ใน Non-Direction ก็ยังแอบมี Direction อยู่
เมื่อ Direction จนถึงที่สุด ย่อม ต้องกลายมาเป็น Non-Direction และเมื่อพักผ่อนสะสมกำลังใน Non-Direction จนถึงพร้อมแล้ว ย่อมต้องกลับออกมาโลดแล่นอย่างมี Direction ตลาดหุ้น และตัวหุ้นใดๆ ล้วนไม่พ้นไปจากนี้ จะกว่าจะตายไป
Direction นั้น เป็นการเคลื่อนไหว จะทะยานขึ้น หรือดำดิ่งลง ล้วนเกิด ขึ้นได้ และมี ทิศทาง ของมันอย่างชัดเจน
Non-Direction นั้น อาจจะเป็น การสงบนิ่ง ไม่เคลื่อนไหวใดๆ หรือจะเป็นการพักผ่อนสะสมกำลัง โดยยังมีการเคลื่อนไหวเล็กๆ อยู่ภายใน ที่ใครๆ ชอบเรียกกันว่า Sideway นั่นเอง
Direction และ Non-Direction มีความสำคัญอย่างแท้จริง เพราะ โอกาสทำกำไรในขณะที่ มี Direction นั้น มีมากมายกว่า Non-Direction จริงๆ แต่ผู้คนในตลาดมักไม่รู้ว่าตนเอง อยู่ตรงไหน อยู่ใน Direction จริงๆ หรืออยุู่ใน Direction เล็กๆ ที่ซ้อนอยู่ใน Non-Direction และไม่รู้ด้วยว่า Direction นั้น มันจะสิ้นสุดเมื่อไหร่
หากคนผู้ใด ที่รู้ได้ว่าเกิด Direction ขึ้นแล้ว และ Direction ที่เกิดขึ้นนั้น จะเกิดขึ้น แรงแค่ไหน(Price) และเกิดขึ้นนานเท่าใด (Time) ... คนผู้นั้น คงจะกลายเป็นเซียนเหยียบเมฆเทพจุติ ที่ลงมือครั้งใด สำเร็จผลที่คราวไป...
การที่จะหยั่งรู้ระดับนั้นได้ จำเป็นต้อง มีความรู้ เทคนิคคอล ในระดับสูง ต้องมีประสบการณ์จากการฝึกฝนอย่างหนัก และต้องมีจิตใจที่มั่นคง มีสติที่แจ่มชัด อยู่เสมอ ความรู้ เทคนิคคอล ในระดับสูง นั้น เหมือนเป็นอาวุธ ที่มีหลากหลายรู้แบบ ค่ายสำนักมากมาย ปรมจารย์หลายท่านที่เปิดสำนักสอนกันอยู่ สำนักใดจะเปรียบได้ กับสำนักเส้าหลินหรือ บู้ตึ้ง ที่ดูดี มีคุณธรรม หรือจะเป็นพรรคกระยาจก ที่ไม่ได้มีฐานะดี ใช้จังหวะตะลุมบอน ใช้ไม่ตีสุนัขเข้าตีอย่างฉาบฉวย หรืออาจเป็นสำนักมาร ที่อาจารย์และศิษย์ พร้อมจะหักหลัง แพแตก เมื่อไหร่ ก็ได้
วิชาใครจะดีกว่ากันนั้น ไม่อาจทราบได้ จะต้องใช้ประลองกันในตลาด จึงจะทราบได้ บางคนรู้ ยอดวิชาเดียว แต่แตกฉาน ใช้ได้ อย่างคล่องแคล่ว ก็สามารถ ทำกำไร เอาชนะ คนที่ รู้วิชามากมาย แต่ไม่อาจนำออกมาใช้ได้อย่างเหมาะสม
ดังนี้แล้ว ผมจะถือว่า เป็นผนังถ้ำ ผนังผา อันว่างเปล่า ที่ต่อไปจะค่อยๆ เอาวิชา อันต่ำต้อย มาสลักจารึกไว้ ให้ผู้คนได้ผ่านตา ติชม กันตามสภาพ แต่การฝึกฝนจำชำนาญ และการรักษาสติ จิตใจ ให้มั่นคง นั้น คงขึ้นอยู่กับท่านทั้งหลายเองแล้ว