1.
วิกฤตต้มยำกุ้ง ครบ 24 ปี ... เริ่มอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 2 ก.ค. 2540
ไม่ได้เกิดและดับในปีเดียว...ในความทรงจำของผม มันกินเวลาลากยาวไป อย่างน้อย 4 ปี คือ 40, 41, 42, และ ปี 43
ช่วงนั้น บางคนถึงกับเรียกมันว่า ปีมรณะ, เผาหลอก, เผาจริง และ ลอยอังคาร
2.
วิกฤตการเงินทำลายภาคธนาคาร ไฟแนนซ์ อสังหาฯ และบริษัทใหญ่ๆ ที่ว่ากันว่า เน่าจากยอดลามถึงกลางลำต้น
โครงสร้างทางการเงินที่เราท่านทราบกันดีมาจาก "เงินกู้ (Debt) และ เงินกรู(Equity)"
ในปี 40 บริษัทใหญ่เกือบทุกแห่งในไทย มีการกู้เงินนอกมาทำธุรกิจในไทย (เพราะดอกเบี้ยต่ำกว่ากู้ในประเทศมาก) หรือมีหนี้สินในสกุลดอลลาร์ ตอนนั้นไม่รู้จักหรอก exchange rate risk ความเสี่ยงค่าเงิน เพราะยังไงมันคือ 25 บาทเท่ากับ 1 ดอลล่าร์
แต่พอประกาศลอยตัวค่าเงินบาท ทุกบริษัทที่มีเงินกู้นอกมา คือ Shipหายเลย อยู่เฉยๆหนี้มันโตขึ้นเท่าตัว
3.
ถ้านึกภาพไม่ออก ลองนึกว่าถ้าพรุ่งนี้คุณตื่นขึ้นมา หนี้สินที่มีอยู่ เอา 2 คูณ ความรู้สึกจะยังไหวไหม?
แถมภาคการเงินวิกฤต มีแบงค์ล้ม มีปิด 56 ไฟแนนซ์ ระบบการเงินปั่นป่วนธาตุไฟแตก ดอกพุ่ง หนี้เสียบาน แบงค์ไม่กล้าปล่อยกู้เพิ่ม
บริษัทใหญ่ตอนนั้นก็เช่นกัน หนี้สินโตขึ้น ดนง.ขาดทุน สุดท้ายบริษัทก็ต้องลดต้นทุนอย่างบ้าคลั่ง ไม่งั้นเจ๊ง!
และการลดต้นทุนที่เร็วที่สุด คือการหยุดลงทุนเพิ่ม ตัดค่าใช้จ่าย และลดจำนวนพนักงาน
4.
ในช่วงเวลา 4 ปีแห่งความปั่นป่วน ผมอยู่ในช่วงวัยเบญจเพส อายุ 25 ปี
เริ่มทำงานปี 2539 และได้เป็นสักขีพยานในช่วงวิกฤตที่ทุกอย่างต้องรัดเข็มขัด เห็นคนร่วมยุคสมัยตกงานจำนวนมาก
.
.
5.
ภาพที่เกิดขึ้นกับออฟฟิศจำนวนมากในกรุงเทพฯคือ
ผู้บริหารต้องลดเงินเดือน ... ระดับปฏิบัติการไม่มีการขึ้นเงินเดือน ... โบนัสไม่มี... สภาพในออฟฟิศ ปิดไฟเป็นแถบๆ...กาแฟและชาวางไว้แค่วันละ 1 ชม.ตอนเช้า...โปรเจคต์ไหนยุบ ไม่มีงาน ก็เอาคนออกไปเลยทั้งทีม... ข่าวรุ่นเพื่อน รุ่นพี่ ตกงานมาเรื่อยๆ
6.
งานดีๆ งานใหม่ๆ เป็นอะไรที่หาโคตรยาก เด็กจบใหม่ไม่มีงานทำ เด็กเพิ่งจบทำงาน2-3 ปี สมัครงานใหม่กี่ที่ ก็ไม่มีใครเรียกสัมภาษณ์
บัณฑิตจบใหม่อย่างน้อยสามรุ่น มีคนที่ต้องออกจากสาขาวิชาที่จบแบบถาวรทั้งชีวิตไม่น้อย เพราะจบมาไม่เคยมีโอกาสได้ทำงานตรงสายเลย
7.
รุ่นพี่อายุ 27-35 หลายคนก็หนัก เพิ่งซื้อบ้าน เพิ่งซื้อรถ ... แน่นอนว่ายังผ่อนไม่หมด บ้างหาทางขายเท่าทุน บ้างขายเท่าหนี้ บ้างงดแต่งงาน บ้างปล่อยรถโดนยึด บางคนย้ายโรงเรียนลูกไปที่ถูกกว่า
เพราะรายได้บางเบาดุจขนนก แต่รายจ่ายหนักแน่นดั่งขุนเขา
เหตุการณ์แย่ลง หน้าหนังสือพิมพ์มีแต่ข่าวร้ายๆอยู่แรมปี
8.
สถานการณ์เมื่อ 24 ปีก่อน ดูเหมือนจะกลับมาหลอนคนไทยอีกครั้ง
ผมพอจะเข้าใจคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ ที่อยู่ในวัยสร้างเนื้อสร้างตัว แต่ต้องมา เจอสถานการณ์โควิดและบ้านเมืองแบบนี้
ผมเชื่อว่าในบางขณะจิต คุณอาจจะรู้สึกผิดหวัง และรู้สึกแย่กับตัวเอง
อยากจะบอกว่า คุณไม่ได้เป็นคนเดียวนะ มีคนจำนวนมากที่เป็นแบบนี้อยู่ และกำลังพยายามดิ้นรนอย่างเต็มที่สุดแรง ทั้งกำลังกายและใจ
9.
"สู้ๆ"...กับความคิดลบทั้งหมดในหัว อย่าคิดด้อยค่าตัวเอง เรามีประโยชน์เสมอกับที่ที่ต้องการ เพียงแต่ช่วงนี้อาจต้องหานานหน่อย
สู้ๆ...ไปทำงานอะไรที่พอมีรายได้ไปก่อน อย่างน้อยสร้างสกิลหาเงินเพิ่ม
สู้ๆ...ไม่ยอมหยุดหาโอกาสที่ดีคู่ควรกับตัวเราอย่างไม่ย่อท้อ เชื่อว่ามันมีอยู่จริง
10.
เดือนสิงหา 2543 ผมกลายเป็นคนว่างงานเต็มตัว
ช่วงเวลานั้น ยอมรับว่ากลุ้มใจมาก
ญาติผู้ใหญ่มาที่บ้าน เจอผมก็จะถามว่า ทำไมสายแล้วยังไม่ไปทำงาน ... ก็ไม่รู้ว่าจะตอบยังไง
ตอนนั้นพยายามคิดอย่างหนัก คิดว่ายังไงก็ต้องดิ้นรนหารายได้มา
1. ให้เกินค่าใช้จ่าย กินอยู่ของเรา
2. ส่งค่าเรียนป.โทให้ตัวเองได้
ผมไม่อยากเป็นลูกชายที่เรียนจบแล้วยังต้องขอเงินพ่อแม่ ขอแค่ 2 เรื่องนี้ ... ผมยินดีต่อสู้ดิ้นรนกับชีวิต อะไรทำแล้วได้เงิน...ทำหมด ก็คือตั้งจิตว่า "สู้ๆ" นั่นแหละ
.
.
11.
เลิกคิดว่าเป็นวิศวกร เลิกคิดว่าเป็นนายช่าง ไม่มีอาชีพสูงต่ำอีกต่อไป อาชีพที่ดีคือ "สุจริตและทำเงิน"
-> ไปทำโครงการติวเตอร์หลังมหาลัยแห่งหนึ่ง 5 เดือน (สุดท้ายโดนโกงไม่ได้เงิน)
-> ไปรับจ้างทำการบ้าน รับจ้างทำเคส รับจ้างทำ take home exam และอีกสารพัดรับจ้าง.... ให้นศ.ป.โท ป.โทบริหาร ที่มีเงินแต่ไม่มีเวลา
-> ทำติวเตอร์ และส่งติวเตอร์ ม.ต้น ม.ปลาย มหาลัย ป.ตรี
-> และอื่นๆ อื่นๆ อื่นๆ ฯลฯ
หากถามว่าท้อไหม ... ก็ตอบเลยว่ามากกก แต่มันก็ต้องทนไง
ช่วงนั้นไม่กล้าคิด ไม่กล้าฝัน ไม่กล้ามีความรัก รู้สึกอะไรๆ มันติดขัดไปหมด
12.
ดิ้นรนอย่างนั้นอีกเกือบปี เทพีแห่งโชคเริ่มเข้าข้าง ประเทศไทยที่ใครเขาว่าเน่า เอาจริงๆก็ผ่านต้มยำมาได้
ปี44 เศรษฐกิจเริ่มฟื้นในหลายเซกเตอร์ อาชีพการงานเริ่มมีกลับมา
ผมได้งานกับบริษัทข้ามชาติ ช่วยชุบชีวิตกลับมาในเส้นทางอีกครั้ง ตั้งใจทำงานเรื่อยมา กับอีกหลายที่หลายแห่ง ตั้งตนอยู่บนความไม่ประมาท
อะไรที่เป็นการลงทุนระยะยาว เราเต็มที่ ประกันชีวิต กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ LTF RMF SSFX ออมหุ้น ซื้อหุ้น ซื้อบ้าน ซื้อที่ดิน ฯลฯ ทั้งหมดนี้เน้นลงทุนซื้อทางเดียว
การถือเงินสดไว้มากไป ทำให้ใจร้อน
เพราะชีวิตเป็นอะไรที่ไม่แน่นอน อันนี้คนรุ่นผมจะทราบดี
13.
ผมจึงอยากส่งกำลังใจให้ทุกท่าน ที่กำลังลำบาก ค้าขายไม่ดี
หรือมีปัญหาในการงาน เงินเดือนลด หรืออาจจะต้องหมดอนาคต ต่อตำแหน่งหน้าที่ ที่มีอยู่เร็วๆนี้
รอบต้มยำกุ้ง ไทยแย่หนักมาก ผมเคยตกงานอยู่กลางวิกฤต เคยมองไม่เห็นทาง ... สุดท้าย ประเทศก็กลับมาได้ในเวลา 4 ปี
ก็ยังเชื่อลึกๆเหมือนเดิม ว่ารอบนี้ประเทศไทยควรจะกลับมาได้เหมือนกัน
พวกเราจะรอดถึงวันนั้น รักษากำลังใจ ยืนระยะกันไว้ให้ได้ถึงรุ่งเช้าครับ