จะว่าไปแล้วปฏิกิริยาของธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลกที่มองการเติบโตของ ‘คริปโตเคอเรนซี’ มักมีการตั้งป้อมใส่ว่า สกุลเงินดิจิทัลเหล่านี้จะเป็นภัยต่อเสถียรภาพของเงินสกุลต่างๆ ที่อยู่บนโลกความจริง และต่างพยายามต่อต้านกลายๆ หรือไม่ก็แถลงข่าวในเชิงให้ผู้คนมองภาพของเงินดิจิทัลในแง่ลบ โดยเฉพาะ ‘บิตคอยน์’ ที่มักโดนป่วนมูลค่าอยู่บ่อยๆ จากการพยายามปั่นราคาของใครบางคนบ้าง หรือแม้แต่การแถลงข่าวโจมตีอยู่เนืองๆ
.
ซึ่งมันคงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแล้ว เพราะมูลค่าตลาดของบิตคอยน์ ในปัจจุบันนั้นใหญ่โตมหาศาลถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์ หรือราว 62 ล้านล้านบาท ซึ่งใหญ่กว่ามูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ 16 ล้านล้านบ้านถึง 3.9 เท่า จากการเข้าไปถือครอง เก็งกำไร ของทั้งบริษัทด้านเทคโนโลยีรายยักษ์ๆ ของโลก ซึ่ง Tesla คือผู้ที่ถือครองบิตคอยน์เป็นอันดับต้นๆ ราว 3,326 ล้านดอลลาร์ หรือ 1.03 แสนล้านบาท
.
แต่แม้ว่าธนาคารกลางเหล่านี้จะไม่ค่อยชอบหน้าพวกคริปโตฯ ก็ตาม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าธนาคารกลางแต่ละประเทศก็ต้องปรับตัวและกระโดดเข้าสู่การสร้างสกุลเงินดิจิทัลเป็นของตัวเอง โดยใช้ความน่าเชื่อถือในฐานะ ‘แบงก์ชาติ’ มาเป็นตัวการันตีค่าเงินดิจิทัล พร้อมชูจุดเด่นคือ ผันผวนต่ำ ค้ำประกันค่าเงินชัดเจน และปลอดภัย ตรวจสอบได้ (เหรอ?)
.
อีหนึ่งประเทศที่ประกาศตัวออกมาว่าจะพัฒนาเงินดิจิทัลของตัวเองโดยแบงก์ชาติคือ อังกฤษ ซึ่ง “ทอม มัททอน” ผู้อำนวยการทางด้านฟินเทค ธนาคารแห่งประเทศอังกฤษ (Bank of England – BOE) กล่าวว่า ธนาคารกลางจะมีคริปโตเป็นของตัวเอง โดยเทคโนโลยีเบื้องหลัง “ซีบีดีซี” (Central Bank Digital Currency หรือ CBDC) หรือสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง ซึ่งจะเรียกกันว่า “บริตคอยน์” (Britcoin)
.
พร้อมเคลมว่าจะดีกว่าในด้านการทำธุรกรรม เมื่อเทียบกับบิตคอยน์หลายหมื่นเท่า
.
อีกทั้งชูจุดเด่นว่า ไม่ต้องขุดให้เปลืองพลังงาน เป็นมิตรต่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปอีก เพราะเวลาขุดบิตคอยน์จะต้องใช้พลังงานมหาศาล และทำให้เกิดการผลิตกระแสไฟฟ้า เผาถ่านหิน เผาน้ำมัน สร้างมลพิษเพิ่มขึ้นไปอีก เป็นการใช้พลังงานที่ไม่มีประสิทธิภาพของบิตคอยน์
.
ซึ่งมันเทียบกับเทคโนโลยี ที่ทางธนาคารกลางอังกฤษ จะใช้กับซีบีดีซีของประเทศตนเอง รวมถึงระบุด้วยว่า ทางการจะพัฒนาระบบพลังงานของซีบีดีซี เพื่อจะได้ใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
.
อธิบายเพิ่งเติมเล็กน้อยว่า ซีบีดีซี คือ สกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง ซึ่งหลายประเทศทั่วโลกกำลังให้ความสนใจและมุ่งไปสู่แนวทางนี้เพื่อการทำธุรกรรมดิจิทัลในปัจจุบัน ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกทางการเงินที่รวดเร็ว (ไม่รู้ว่าเร็วตามทันจริงไหม) โดยจะมีความแตกต่างกับคริปโทฯ ตรงที่ ธนาคารกลางจะเป็นผู้ควบคุมระบบการเงินทั้งหมด และค่าเงินจะขึ้นหรือลงตามสกุลเงินเหมือนเงินสด รวมทั้งซัพพลายเงินไม่จำกัดตามนโยบายของธนาคารกลางแต่ละประเทศ และที่สำคัญคือชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย หรือพูดง่ายๆ คือเอาเงินบาท ดอลลาร์ ยูโร ปอนด์ หยวน หรือเงินสกุลต่างๆ ที่เรารู้จักมาอยู่ใบกระดานซื้อขายค่าเงินบนโลกออนไลน์นั่นเอง โดยอิงราคาค่าเงิน มูลค่า อัตราแลกเปลี่ยนที่เท่ากันเปะๆ เว้นเพียงว่าเวลาทำธุรกรรมต่างๆ อาจจะปราศจากค่าทำเนียบก็ได้เป็นต้น
.
พูดกันตามตรงแล้วการที่ธนาคารกลางพยายามพัฒนาซีบีดีซี ไม่เพียงแค่ต้องการจะยกระดับระบบการเงินตามเทรนของโลกการเงินดิจิทัล แต่มันแฝงไปด้วยความกลัวจากวงจรชีวิตคริปโตฯ ที่มันเติบโตรวดเร็วจนอาจเข้าไปขัดขวางการหมุนเวียนของเงินตราของประเทศนั้น ๆ หรือทำให้ระบบการฝากเงินเข้าธนาคารเข้าสู่วิกฤต หมายความว่า ผู้คนอาจหันไปถือคริปโตฯ แทน เพราะเป็นระบบการเงินทางเลือก โดยซีบีดีซี จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนระบบการเงินของประเทศ เนื่องจากซีบีดีซีสามารถทำการโอนเงินระหว่างธนาคารพาณิชย์ หรือตัวกลางอื่น ๆ ได้โดยไม่มีค่าธรรมเนียม
.
ก็มารอดูกันว่า หน้าตาของการลงทุนในตลาดเงินในโลกของคริปโตฯ ที่ตอนนี้เชื่อว่าหลายคนคงพอเห็นภาพกันบ้างแล้ว และรูปแบบ ซีบีดีซี ซึ่งเป็นของธนาคารกลางจะมีความเหมือนหรือต่างกันอย่างไร
.
เพราะจุดเด่นของคริปโตฯ คือ อิสระในการลงทุน และความเป็นส่วนตัวของผู้เข้าไปลงทุน แต่ก็มีปัญหาเรื่องความผันผวนและอ่อนไหวง่ายในตลาด ในขณะที่ ซีบีดีซี ก็สามารถมั่นใจได้ในเรื่องความกลางของระบบ หน้าเชื่อถือ แต่ก็ขาดความเป็นส่วนตัวเพราะสามารถตรวจสอบตัวตนได้นั่นเอง
------------------------
แหล่งอ้างอิง
https://news.yahoo.com/britcoin-digital-currency-bank-of-england-regulation-130008202.html