ใครที่ติดตามข่าวเศรษฐกิจหรือการลงทุน จะต้องรู้สึกคุ้นหูกับชื่อของ FED (เฟด) Federal Reserve Board หรือ ธนาคารกลางสหรัฐ ที่เวลาประกาศจะเคลื่อนไหวอะไรแต่ละทีมีผลต่อตลาดหุ้นอย่างมีนัยสำคัญเสมอ โดยเฉพาะการจ้องจะปรับขึ้นหรือลงของดอกเบี้ยนโยบายที่หากว่าส่งสัญญาณออกมาทีไร ตลาดหุ้นน้อยใหญ่ก็จะเตรียมตัวระแวงกันก่อนที่จะประกาศอย่างเป็นทางการทุกที ถ้าปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายปุ๊บ หุ้นก็พร้อมร่วงปั๊บ
ทำไม FED ถึงมีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทย
ตอบง่ายๆ แบบกำปั้นทุบเดินเลยคือ เพราะมันคือหน่วยงานด้านการเงินของสหรัฐฯ ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลก ที่ทุกอย่างแทบจะผูกโยงกับประเทศนี้ทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นการค้า การนำเข้าส่งออก ตลาดการเงิน การลงทุน ที่มีอิทธิพลไปทุกหย่อมหญ้า เพราะการที่สหรัฐจะมำคำสั่งอะไรออกมาก็ตามย่อมส่งผลกระทบต่อความเป็นไปของโลกเสมอ
เช่นเดียวกับ FED ที่เป็นผู้กำหนดนโยบายการเงิน ที่ถือว่าเป็นเบอร์ใหญ่ที่สุดของบรรดาธนาคารกลางของโลก การที่จะส่งสัญญาณปรับขึ้น - ลง และคงอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.01% ก็มีผลต่อตลาดเงินตลาดทุนแล้ว
ต้องเข้าใจว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายมีผลต่อการเติบโตและชะลอตัวของเศรษฐกิจด้วย เช่น ถ้าช่วงนี้เศรฐกิจไม่ค่อยจะดี ชะลอตัว เงินทองฝืดเคือง ธนาคารกลางก็จะประกาศลดดอกเบี้ยลง เพื่อให้รู้สึกว่าพอดอกถูก ทุกอย่างจะถูกลง พอของถูกคนก็ตัดสิ้นใจซื้อได้ง่าย เกิดการหมุนเวียนของเงินตราในระบบเศรษฐกิจ กระตุ้นให้เศรษฐกิจฟื้นตัว
ในทางตรงกันข้าม ถ้าช่วงนั้นเศรษฐกิจเติบโตร้อนแรง แข็งแกร่ง บรรยากาศต่างเป็นไปในทิศทางที่สดใส ธนาคารกลางปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยให้สอดคล้อง แต่ไม่ใช่ปรับเพราะอยากกินดอกเยอะๆ แต่ปรับขึ้นเพื่อชะลอการเติบโตทางเศรษฐกิจไม่ให้ร้อนแรงเกินไป เพราะการที่เศรษฐกิจโตแบบไม่ติดเบรกเลย มันจะส่งผลเสียตามมา เกิดภาวะฟองสบู่ เงินเฟ้อพุ่ง จากที่คิดว่าเศรษฐกิจจะดีๆ อาจมีผลร้ายคือ ไปไว ไม่ติดเบรก ไม่ระวัง ก็จะพังลงเอาเหมือนกัน
ผลกระทบของการปรับดอกเบี้ยของ FED ต่อตลาดหุ้นไทย
ให้ผู้อ่านลองนึกภาพตามว่า ในระบบเศรษฐกิจที่เราคุ้นเคย จะมีตลาดการซื้อขายหลักทรัพย์ใหญ่ๆ อยู่สองตลาด คือ ตลาดพันธบัตร และตลาดหุ้น โดยธรรมชาติแล้วตลาดพันธบัตรจะมีมูลค่ามากกว่าตลาดหุ้นเสมอ และที่สำคัญมีความนิยมเข้าซื้อถือครองกว่า เพราะมีความเสี่ยงค่อนข้างต่ำโดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาล
เงินของนักลงทุนมันไหลไปไม่กี่ที่หรอก ถ้าออกจากหุ้นก็จะไหลไปพันธบัตรรัฐบาล ถ้าออกจากพันธบัตรรัฐบาลก็จะไหลกลับมาที่หุ้น ตามสภาวะการซื้อขาย ณ เวลานั้น ยิ่งถ้าเป็นพันธบัตรของรัฐบาลสหรัฐด้วยแล้ว ยิ่งเป็นที่สนใจของนักลงทุน นักลงทุนก็ต้องดิ้นรนหาช่องทางการลงทุนใหม่ๆ ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าการฝากเงินดอกเบี้ยต่ำเตี้ยเรี่ยดินในตลาดเกิดใหม่ เม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) ที่ในช่วงที่ตลาดเกิดใหม่ที่เคยคึกคัก ต่างชาติก็จะหอบเงินมาซื้อ ที่ตลาดหุ้นไทยเองก็ขึ้นจาก 400-500 จุดมาถึง 1500-1600 จุด ก็มีโฟลว์จากต่างชาติด้วย
การที่ FED ขึ้นดอกเบี้ย ดอกเบี้ยเงินฝากในอเมริกาก็จะปรับสูงขึ้นด้วย พวกพันธบัตรที่จะออกมาใหม่ ก็มีดอกเบี้ยหน้าตั๋วสูงขึ้นเช่นกัน นักลงทุนที่เคยหอบเงินมาลงทุนในตลาดเกิดใหม่ก็จะหอบเงินกลับบ้าน เพราะตลาดประเทศพัฒนาแล้วมีเสถียรภาพกว่า และไม่ต้องมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวนอีกด้วย สรุปคือหลังจาก FED ขึ้นดอกเบี้ยแล้ว เงินอาจจะไหลกลับเข้าอเมริกา ตลาดหุ้นจึงร่วงเพราะกังวลว่าโฟลว์ไหลออกนั่นเอง
ดังนั้นแล้วก็ต้องจับตาดูให้ดีเพราะทั้งตลาดพันธบัตร ตลาดหุ้น และนโยบายของ FED มีความเกี่ยวเนื่องกัน ถ้านักลงทุนรู้จักการสังเกตตลาด หรือดูแนวโน้มนโยบายออก ก็จะสามารถอยู่รอดในตลาดได้แบบไม่แพ้ และยังสามารถปรับพอร์ตการลงทุนจากการคาดการณ์ของแนวโน้มดังกล่าวได้อีกด้วย