ถ้าพูดถึงนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จในหมู่นักลงทุนคนไทยแล้ว แน่นอนว่าต้องเป็นวอร์เร็น บัฟเฟตต์ รองลงมาก็จะเป็นปีเตอร์ ลินซ์ ผู้จัดการกองทุน Fidelity Fund
แต่นักลงทุนอีกคนที่นักลงทุนไทยควรรู้จักอีกคนนึ่ง คือ แอนโทนี โบลตัน
แอนโทนี โบลตัน เป็นผุ้จัดการกองทุน Fidelity Fund เหมือนกับปีเตอร์ ลินซ์ แต่เขาเกิดและเติบโตที่ประเทศอังกฤษ และทำงานใน Fidelity สาขาลอนดอน ประสบความสำเร็จจากการบริหารกองทุนโดยสร้างผลตอบแทนทบต้นตลอด 30 ปี อยู่ที่ 19.1% ตลอดชีวิตของเขา เขาได้เขียนหนังสือแบ่งปันประสบการณ์ทางการลงทุน 2 เล่ม ด้วยกันและเล่มที่น่าสนใจที่สุด คือ Investing Against the Tide โดยมีชื่อภาษาไทยว่า ลงทุนสวนกระแสอย่าง แอนโทนี โบลตัน ... ตอนนี้ได้กลายเป็นหนังสือหายากไปแล้ว
ส่วนตัวได้มีโอกาสได้อ่านหนังสือเล่มนี้ เลยอยากนำสาระสำคัญสรุปออกมาเป็นข้อๆ จากการอ่านหนังสือเล่มนี้ครับ
1. คนที่จะประสบความสำเร็จจากหุ้นได้ ต้องประกอบไปด้วย 3 ลักษณะนิสัยด้วยกัน คือ
>>> รู้ว่าคุณซื้ออะไร
>>> มันมีราคาแพงไหมเมื่อเทียบกับมูลค่าที่ควรจะเป็น
>>> อดทน และรู้จักควบคุมตนเอง
2. วอเร็น บัฟเฟตต์ เคยสร้างแนวคิดเรื่องของ Circle of Competence หรือลงทุนในขอบข่ายของความรอบรู้ของคนเอง ซึ่งเขายึดหลักการนี้มาโดยตลอด ลงทุนในสิ่งที่ตัวเองเข้าใจ
... ทำไมคนเป็นหมอจึงพยายามลงทุนในหุ้นน้ำมันแทนที่จะลงทุนในหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล
... ทำไมคนทำงานในโรงกลั่นน้ำมันถึงชอบลงทุนในหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์แทนที่จะลงทุนในเอ็กซอลโมบิล
ดังนั้น นักลงทุนควรลงทุนในความรอบรู้ของตน ดีกว่าใช้ข้อมูลอินไซด์ในการจับจังหวะตลาดหุ้น
3. การซื้อหุ้นครั้งแรกของแอนโทนี คือ หุ้นเหมืองแร่ ซึ่งเขาซื้อจากการที่เพื่อนบอกโดยที่เขาแทบจะไม่เข้าใจอะไรในธุรกิจเหมืองแร่เลย สุดท้ายเขาก็ขาดทุนอย่างหนัก แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นเขาบอกว่า "ขาดทุน คือ กำไร" กล่าวคือ การขาดทุนด้วยเงินเล็กน้อย ทำให้เขาระมัดระวังตัวเองไม่ให้ขาดทุนอีก การขาดทุนจะทำให้เรากลายเป็นนักลงทุนที่ดีในอนาคต
ในทางกลับกัน ถ้าเราลงทุนแรกๆแล้วได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ มันจะทำให้เราเป็นคนหยิ่งยะโส และคิดว่าตัวเองเป็น "เทพไมดาส" ที่จับอะไรก็เป็นเงินเป็นทองไปหมด จุดนี้คือจุดที่อันตรายมาก
4. การออมเงินในตราสารหนี้ จะทำให้เราแพ้ในระยะยาว ...
5. การซื้อหุ้น คือ เราเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจ อย่าไปสนใจการเคลื่อนไหวของตลาด แต่เราควรใช้อารมณ์ของตลาดในการซื้อหรือขายให้เกิดประโยชน์
6. ตลาดหุ้นคือเครื่องแสดงความโลภและความกลัวของนักลงทุน โอกาสซื้อที่ดีที่สุดมาจากการซื้อในจุดที่คนอื่นกำลังกลัว ... พูดง่ายแต่ทำยาก
7. การซื้อหุ้นตามคนอื่น ปลายทางสุดท้าย คือการขาดทุนอย่างหนัก เพราะหนึ่ง เราไม่รู้ว่าเขาคนนั้นซื้อเพราะอะไร
และสอง เขาคนนั้นอาจจะขายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วแต่เรายังไม่รู้
8. จากประสบการณ์การลงทุนตลอด 30 ปี ไม่มีสินทรัพย์ไหนที่ขึ้นได้ตลอดไป หรือเป็นขาลงได้ตลอดไป
9. ตลาดหุ้นคือเครื่องลงคะแนนเสียง ด้วยความผันผวนผ่านความโลภและความกลัวของนักลงทุนอาจจะทำให้มูลค่าโดยเนื้อแท้ของบริษัทนั้นผิดเพี้ยนไปบ้าง บางทีก็แพงเกินความเป็นจริงไปบ้าง หน้าที่ของนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ คือ ค้นหามูลค่าแท้ของธุรกิจเหล่านั้น
10. นักลงทุนที่พ่ายแพ้มักจะให้ "เวลา" กับการศึกษาบริษัทนั้นน้อยเกินไป แต่ให้ความสนใจกับ "ราคาหุ้น" มากเกินไป
11. ตลาดกระทิงจะปีนข้ามผ่านกำแพงแห่งความกังวลเสมอ ...
ณ จุดต่ำสุด ทุกๆคนจะหวาดกลัวเกี่ยวกับหุ้น พอตลาดเริ่มฟอร์มตัวเป็นขาขึ้น ทุกคนก็ยังไม่แน่ใจว่าหมีกำลังเปลี่ยนร่างเป็นกระทิง และเมื่อทุกคนมั่นใจว่านี้คือกระทิง 100% ก็คือตลาดได้ทำจุดสูงสุดใหม่ไปแล้ว
12. ตลาดหุ้นไม่ใช่เรื่องของอนาคต แต่มันคือ"ภาพสะท้อน"เกี่ยวกับความคิดคนที่มีต่ออนาคต และหลายๆครั้งผมก็ทำเงินจากกลุ่มคนที่มองโลกในแง่ร้ายจนเกินไป
13. ถ้านักลงทุนไม่สามารถก้าวข้ามผ่านอารมณ์ความโลภและกลัวของตัวเราเองได้ เราจะไม่มีทางประสบความสำเร็จในการลงทุนได้เลย
14. บางครั้งการไม่ทำอะไรเลย คือกลยุทธ์ที่ดีที่สุด ... เรียนรู้ที่จะอยู่เฉยๆเสียบ้าง ยิ่งเราขยับตัวมากเท่าไร เรายิ่งผิดพลาดมากขึ้นเท่านั้น
15. ตลาดหุ้นจะสร้างความ "มึนงง" ให้กับเรายาวนานพอ จนทำให้เราคิดว่าเรากำลังคิดผิด บางทีเราอาจจะต้องอาศัยความกล้ามากเพียงพอที่จะสวนกระแสคนส่วนใหญ่
16. คนจำนวนมากพยายามค้นหา "ข่าวดี" หรือบริษัทที่มี "สถานการณ์พิเศษ" เพื่อที่จะได้ไปลงทุนที่นั้น แต่จากประสบการณ์มากว่า 30% บอกผมเสมอว่า อะไรก็ตามที่เต็มไปด้วยข่าวดี จะไม่ทำเงินให้กับนักลงทุน
17. ความอดทนต่อสิ่งเร้าเป็นเรื่องสำคัญ บ่อยครั้งที่เราจะเห็นเพื่อนๆหรือคนรอบข้างของเราได้กำไรเป็นกอบเป็นกำจากหุ้นตัวหนึ่ง และมักจะเป็นเหตุผลให้เราทนไม่ไหวขายหุ้นตัวที่กำไรออกไป หรือแม้แต่เสียงก้มด่าของเพื่อนเราอีกเช่นกันที่ต่างก็ขาดทุน จนทำให้เราหวาดกลัวขายล้างพอร์ตออกไปในเวลาที่เราควรจะเข้าไปซื้อหุ้น
นี้ก็เป็นสรุปสาระสำคัญ 17 ข้อจากการอ่านหนังสือ Investing Against the Tide ถ้ามีสาระสำคัญเพิ่มเติมจะมาเล่าสู่กันฟังอีกครับ