การเคลื่อนไหวของ FED ถึงแม้ว่าจะเป็นไปตามที่ตลาดคาดกันเอาไว้ แต่กลับถูกแรงเทขายออกมาสร้างผลกระทบให้กับตลาดหุ้นทั่วโลก
มาดูกันว่า ท่าทีของ FED สร้างแรงกดดันต่อตลาดหุ้นทั่วโลกอย่างไร ?
สถานการณ์เดิม ตลาดคาดว่า FED จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.25% และ QE ที่ยังคงพิมพ์เงินกันต่อไปไม่มีการเปลี่ยนแปลงเรื่องของลดจำนวนการพิมพ์หรือระยะเวลา
เมื่อนักข่าวถามถึงภาพของเศรษฐกิจของอเมริกา นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธาน FED พูดด้วยความมั่นใจว่าเศรษฐกิจของอเมริกาแข็งแกร่ง GDP ยังคงเติบโต เงินเฟ้ออยู่ในอัตราที่สูง และที่สำคัญอัตราการว่างงานลดลง ... จากที่กล่าวมาตอนนี้ FED ยังไม่มีนโยบายการขึ้นดอกเบี้ยหรือการปรับขนาด QE ลง ข่าวนี้ส่งผลให้ Dollar Index แข็งค่าแรงราว 0.65% และ Bond Yield ระยะยาว 10 ปี ดีดตัวแรงมากถึง 1.58% ส่งผลให้หุ้นกลุ่มประกันขึ้นแรงด้วยเช่นกัน
จริงๆแล้วการคงสถานะการทำ QE ที่ยังเหมือนเดิม น่าจะทำให้ตลาดหุ้นขึ้นได้ แต่ไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย ...
ดัชนี Dow Jones ร่วงแรงกว่า 0.77% เป็นเพราะว่าตลาดวอลสตรีทคาดว่าด้วยเศรษฐกิจที่ดีขนาดนี้ ทาง FED คงไม่อยากให้เศรษฐกิจร้อนแรงเกินไปอาจจะ "ขึ้นอัตราดอกเบี้ย" เร็วขึ้นจากเดิมในปี 2567 อาจจะขึ้นในปี 2566 ก็เป็นไปได้
สำหรับประเด็นเรื่อง QE ยังไงทาง FED ก็ต้องปรับลดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งการประชุมครั้งถัดไปวันที่ 26-28 สิงหาคม อาจจะพูดถึงการปรับลด QE ลง
เท่ากับว่าตลาดวอลสตรีทกำลัง "กังวลกันไปเอง" ทั้งที่ทาง FED ไม่ได้แสดงอาการอะไรที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยหรือลดขนาดของ QE
... ไม่ใช่แค่นักลงทุนในวอลสตรีทคาดกันไปเอง แม้แต่สื่อที่มีอิทธิพลอย่าง Bloomberg และ CNBC ยังคาดว่า FED มีแนวโน้มที่จะทำแบบนั้นไม่ช้าก็เร็ว
เราในฐานะนักลงทุนก็ต้องติดตามกันต่อไปครับ เพราะการเคลื่อนไหวของ FED แต่ละครั้ง สะเทือนหุ้นทั้งโลกได้จริงๆ