ในเรื่องของการลงทุนแล้ว เชื่อว่าคงไม่มีใครไม่รู้จักผู้จัดการกองทุนระดับตำนานอย่างปีเตอร์ ลินซ์ ที่สร้างผลตอบแทนดีมากๆตลอดระยะเวลาที่เขาบริหารกองทุน Fidelity
ปัจจุบัน เขาอายุ 77 ปี ยังอยู่ในแวดวงของการลงทุนอยู่ โดยรับบริหารเงินให้กับมูลนิธีการกุศลโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย และเดินสายสร้างความรู้ทางการลงทุนให้กับเด็กอเมริกันรุ่นใหม่ๆ
ในหนังสือ One Up On Wall Street เขาได้เขียนแยกประเภท "ชนิดของหุ้น" ออกเป็น 6 ประเภทด้วยกัน คือ
1. หุ้นโตช้า
คือ หุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่อิ่มตัว การเติบโตในแง่ของรายได้ไม่สูงมากประมาณ 2-5% โดยส่วนใหญ่มักเป็นธุรกิจที่ทำมานานแล้ว เมื่อก่อนเคยเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่พอธุรกิจใหญ่ขึ้น บริษัทโตมากขึ้น หุ้นเหล่านี้ก็จะเป็นหุ้นโตช้า
ข้อดีของหุ้นกลุ่มนี้คือ ฐานะทางการเงินดี หนี้สินน้อย และจ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอ
ข้อเสียของหุ้นกลุ่มนี้ คือ ราคาหุ้นไม่ค่อยไปไหน เพราะกำไรค่อนข้างทรงตัว ไม่หวือหวามากนัก
2. หุ้นแข็งแกร่ง
คือ หุ้นขนาดใหญ่ (ให้นึกภาพของ PTT หรือหุ้นกลุ่มแบงก์ ก็จัดอยู่ในกลุ่มนี้) อาจจะเป็นกิจการที่ทำธุรกิจมานานแล้ว มีความแข็งแกร่งในผลประกอบการ อาจจะโตได้ดีในบางปี บางปีก็โตช้า ส่วนใหญ่เป็นหุ้นที่ได้รับการยอมรับจากนักลงทุนว่าเป็นหุ้นดีอยู่คู่กับตลาดมานานแล้ว
ข้อดีของหุ้นกลุ่มนี้คือ ยอดขายและกำไรไม่ผันผวน ทนทานต่อสภาวะเศรษฐกิจได้ดี ความเสี่ยงในการถือครองต่ำ ปันผลดี
ข้อเสียของหุ้นกลุ่มนี้ คือ ราคาหุ้นไม่ผันผวนมาก ไม่เหมาะสำหรับสายเก็งกำไร เหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาวมากกว่า
3. หุ้นโตเร็ว
คือ บริษัทที่เติบโตปีละ 20-30% ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นขนาดเล็กที่ยังไม่ได้ผ่านเฟสของการเติบโต แต่มีแนวโน้มที่จะเติบโตในแง่ของธุรกิจ เช่น ธุรกิจเป็นเมกะเทรนด์ หรือธุรกิจมีเฟรนไชส์หรือสูตรที่ประสบความสำเร็จ และกำลังอยู่ระหว่างขยายสาขาเพิ่ม ส่งผลให้รายได้และกำไรเติบโตแบบก้าวกระโดด
ข้อดีของหุ้นกลุ่มนี้คือ ราคาหุ้นวิ่งเร็วและวิ่งแรงไปแล้ว ถ้าเข้าถูกจังหวะจะสร้างผลกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ
ข้อเสียของหุ้นกลุ่มนี้คือ กว่าจะรู้ก็ตอนแพงไปแล้ว ราคาหุ้นถือว่าไม่ถูก บางบริษัทแทบจะไม่มีปันผล ความเสี่ยงสูง ความคาดหวังสูง ถ้าไม่ได้เป็นไปตามคาดหวังจะโดนเทขายอย่างหนัก
4. หุ้นวัฐจักร
คือ กลุ่มหุ้นที่มียอดขายและกำไรขึ้นๆลงๆตามวัฐจักรของเศรษฐกิจ หรือตามวัฐจักรของอุตสาหกรรม คนไทยมักจะชอบเรียกหุ้นกลุ่มนี้ว่า "หุ้นสินค้าโภคภัณฑ์" เช่น หุ้นยางพารา หุ้นถ่านหิน หุ้นขายไก่-ขายหมู สินค้าเกษตร ซึ่งจะต้องอ้างอิงกับราคาตลาด ที่ขึ้นอยู่กับความต้องการซื้อ ต้องการขาย
ข้อดีของหุ้นกลุ่มนี้ คือ มีความเป็นวัฐจักร ถ้าคนเข้าใจในวัฐจักรของอุตสาหกรรมจะสร้างผลตอบแทนได้มหาศาล หุ้นขึ้นได้หลายร้อยเท่าในระยะเวลาไม่นาน
ข้อเสียของหุ้นกลุ่มนี้ คือ ความเป็นวัฐจักรทำให้นักลงทุนสับสน คือจะดูดีในช่วงเวลาที่พีคไปแล้ว ถ้านักลงทุนที่ไม่เข้าใจ จะเสียหายจากการลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ได้
5. หุ้นฟื้นตัว
คือ หุ้นที่มีปัญหาอย่างหนัก เช่น ขาดทุน มีการปรับโครงสร้าง เปลี่ยนธุรกิจ และกำลังจะกลับมาเป็นกำไรได้ หุ้นกลุ่มนี้จะวิ่งเร็วมาก คนไทยมักจะชอบเรียกว่า "หุ้นเทิร์นอราวด์" (Turn around)
ข้อดีของหุ้นกลุ่มนี้ คือ สร้างผลตอบแทนได้เป็นกอบเป็นกำ
ข้อเสียของหุ้นกลุ่มนี้ คือ High Risk High Return ผลตอบแทนสูง ความเสี่ยงก็สูงตามเพราะบ่อยครั้งหุ้นฟื้นตัว มักจะไม่ฟื้นตัว แต่มักจะจบลงที่การล้มละลายและถูกเอาออกจากตลาดหลักทรัพย์ นั้นหมายความว่าเงินที่ลงทุนไปมีค่าเป็น 0
หุ้นฟื้นตัวเป็นหุ้นที่มองยาก วิเคราะห์ยาก เพราะปัญหาที่ค่อนข้างซับซ้อน การแก้ปัญหาไม่ใช่แค่การเปลี่ยนธุรกิจแล้วจะกลับมากำไรได้เลย มันมีเรื่องของระยะเวลา ปีนี้กำไร แต่ปีหน้าอาจจะไม่กำไรก็ได้ เป็นต้น
ดังนั้น หุ้นกลุ่มนี้ ถ้าเราคาดได้ถูกต้อง จะสร้างผลตอบแทนได้มหาศาล ครับ
6. หุ้นทรัพย์สินมาก
คือ หุ้นที่มีเงินสด อาคาร หรือที่ดิน จำนวนมาก แต่มักจะถูกนักลงทุนมองข้าม แน่นอนว่าสินทรัพย์เหล่านั้นไม่สามารถนำไปต่อยอดเป็นกำไรได้ แต่ถ้าคำนวนดูแล้ว ราคาหุ้นที่เราซื้อกลับมีราคาถูกกว่ามูลค่าทรัพย์สินที่บริษัทมี ถือว่าเป็นข้อได้เปรียบ แต่ปัญหาสำคัญอยุ่ที่ว่าเมื่อไรที่บริษัทจะนำทรัพย์สินเหล่านั้นออกมาสร้างกำไรให้กับบริษัท ถ้าไม่มีการขายทรัพย์สินออกมา โอกาสที่จะได้ประโยชน์ถือว่ามีน้อยมาก บางตัวอาจจะต้องใช้ระยะเวลาหลายปี กว่าจะสะท้อนออกมา
ข้อดีของหุ้นกลุ่มนี้ คือ ราคาถูก ได้กำไรตั้งแต่ซื้อ
ข้อเสียของหุ้นกลุ่มนี้ คือ ใช้เวลานาน หุ้นสินทรัพย์มากแต่ถ้าสินทรัพย์นั้นไม่นำมาแปลงเป็นรายได้ หรือกำไรก็แทบจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย
นี้ก็เป็นหุ้น 6 ประเภทของปีเตอร์ ลินซ์ ที่นักลงทุนจำเป็นจะต้องรู้ครับ