แม้ว่าสหรัฐจะมีนายโจ ไบเดน เป็นประธานาธิบดี ที่หลายคนคิดว่าความร้อนแรงของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน น่าจะเบาบางผ่อนคลายลงมากกว่ายุคของนายโดนัลด์ ทรัมป์ โดยเฉพาะประเด็นการจู่โจมไปยังบริษัทสัญชาติจีนที่ลงทุนในสหรัฐ ดังเช่นกรณีเดียวกับด้านเทคโนโลยีของจีนทั้ง ByteDance บริษัทแม่ของทางแอปพลิเคชันชื่อดัง Tiktok รวมทั้งค่ายเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Huawei แต่ว่าล่าสุดกลับกลายเป็นว่าไบเดนยังคงสานต่อนโยบายสงครามการค้ากับจีนเอาไว้ไม่เพียงเท่านั้นยังขึ้น ‘แบล็กลิสต์’ บริษัทจีนเพิ่มเป็น 59 แห่งอีกด้วย จากเดิมในยุคของทรัมป์ที่มีเพียงแค่ 31 แห่ง
โดยไบเดนได้ลงนามในคำสั่งพิเศษฝ่ายบริหาร ว่าด้วยการห้ามมิให้ผู้ประกอบการของสหรัฐลงทุน และมีความสัมพันธ์ทางธุรกิจทุกรูปแบบกับบริษัทของจีน 59 แห่ง เนื่องจากมีแนวโน้มสูงว่าบริษัทของจีนเหล่านั้น มีความเกี่ยวข้องกับกองทัพและรัฐบาลปักกิ่ง โดยเฉพาะด้านการทหารและข่าวกรอง
ซึ่งรวมถึงบริษัทโทรคมนาคมรายใหญ่ที่สุดของจีน 3 แห่ง คือ บริษัทไชน่าโมบายล์, ไชน่ายูนิคอม และไชน่าเทเลคอม นอกจากนี้ ยังมีบริษัทอุตสาหกรรมการบินแห่งชาติจีน ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทใหญ่ภายใต้กองทัพจีน, ไชน่า นอร์ธ อินดัสทรีส์, ไชน่า เอโรสเปซ ซายน์ แอนด์ อินดัสทรี คอร์ปอเรชัน และไชน่า ชิปบิลดิ้ง อินดัสทรี โค
มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เวลา 00.01 น. ของวันที่ 2 ส.ค.นี้ ตามเวลาของกรุงวอชิงตัน โดยกลิ่นไอของการสงสัญญาณการคว่ำบาตรนี้รัฐบาลจีนกับจับตามาตลอดล่วงหน้า โดยนายหวัง เหวินปิน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าวในช่วงหนึ่งของการแถลงประจำวันพฤหัสบดี ซึ่งเกิดขึ้นก่อนการประกาศของผู้นำสหรัฐ ว่าจีนจะตอบโต้เรื่องนี้ตามความจำเป็นเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติเป็นลำดับสูงสุด และให้ความสนับสนุนผู้ประกอบการของจีน ในการดำเนินกิจการตามกฎหมาย
นอกจากนี้ยังมีคำสั่งห้ามเอกชนหรือนักลงทุนสหรัฐ เข้าไปลงทุนหรือพัวพันกับบริษัทจีนที่อยู่ในรายชื่อขึ้นบัญชีดำ โดยให้กระทรวงการคลังทำบัญชีบริษัท ที่อาจเจอโทษปรับโทษฐานพัวพันกับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสอดแนมและกลาโหมของจีน โดยประธานาธิบดีจะลงนามคำสั่งในสัปดาห์นี้
ประเด็นก็คือว่า เวลานี้นักลงทุนค่อนข้างเกิดความสับสนอย่างมากในขอบข่ายการเข้าไปลงทุนหรือว่าทำธุรกิจธุรกรรมกับบริษัทของจีน เนื่องจากรายชื่อของบริษัทที่ติดแบล็กลิสต์นั้นยังมีบริษัทในเครือ บริษัทลูก หรือบริษัทที่เข้าไปถือหุ้นหรือลงทุนอีกด้วย ทำให้หลายฝ่ายตั้งคำถามไปยังรัฐบาลวอชิงตันว่า นักลงทุนจะมีขอบข่ายการลงทุนได้มากน้อยขนาดไหน เพราะต้องไม่ลืมว่ากลุ่มทุนของจีนก็ถือหุ้นในบริษัทต่างๆ ในสหรัฐไม่น้อย และบางบริษัทมีสัดส่วนการถือหุ้นมากอีกด้วย
แน่นอนว่าข่าวที่ออกมาแบบนี้ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นสหรัฐ แน่นอนโดยเมื่อคืนที่ผ่านมาดาวโจนส์ปิดที่ 34,577.04 จุด ลดลง 23.34 จุด หรือ -0.07% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,192.85 จุด ลดลง 15.27 จุด หรือ -0.36% ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,614.51 จุด ลดลง 141.82 จุด หรือ -1.03%