“รู้ว่าเสี่ยงแต่ยังต้องขอลอง...” อะไรที่เขาว่าเสี่ยงๆ กัน มักได้ความตื่นเต้น หวือหวา ให้อะดรีนาลีนในร่างกายได้สูบฉีด ซึ่งแน่นอนว่าความเสี่ยงมักมาซึ่งผลตอบแทนที่เย้ายวนใจถ้าหากเสี่ยงแล้วฟ้ามีตา หรือสวรรค์เป็นใจให้เข้าข้างเรา ก็อาจจะได้ผลกำไรที่แสนงดงามมาครอบครอง
แต่ถ้าหากผลตรงกันข้าม สิ่งที่จะได้กลับคืออาจเจ็บปวดรวดร้าว จนสร้างความหวาดหวั่นไม่อาจลืมเลือน เป็นเหมือนฝันร้ายที่ไม่มีใครต้องการเผชิญได้เช่นกัน
ในแวดวงการลงทุนโดยเฉพาะในตลาดหุ้น ถือเป็นพื้นที่ “วัดใจ” ของนักลงทุนอย่างมากว่าจะสามารถทนทานต่อกิเลสของตัวเองได้มากน้อยขนาดไหน โดยเฉพาะเมื่อเห็นว่ามีหุ้นบางตัวที่วิ่งแรงๆ พุ่งแรงๆ โตเป็นร้อยเป็นพันเปอร์เซ็นต์ในระยะเวลาสั้นๆ แน่อนว่าการกระโดดเข้าไปเกาะขบวนรถที่กำลังพุ่งทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง ถ้าเกาะทันก็สามารถเก็บเกี่ยวทำกำไรระหว่างทางได้อยากเป็นกอบเป็นกำ แต่ถ้ากระโดดเกาะไม่ทันก็คงจะรู้สึกเจ็บใจในความตาไม่ถึงจองตัวเอง
แต่ถ้าหากว่าจู่ๆ รถคันที่เราเกาะไปนั้นดันเทกระจาดคว่ำ หรือยกดั้มทิ้งอย่างรวดเร็วแล้วเรากระโดดลงไม่ทัน นอกจะไม่ได้เสพความสุขจากกำไรแห่งสรวงสวรรค์แล้ว ยังต้องไปนั่งทนหนาวเหน็บบนดอยเคราะห์ต่อไปอีกพักใหญ่ๆ ซึ่งแน่นอนว่าดอยยิ่งสูง ยิ่งตัดสินใจกระโดดลงจากดอยยาก เพราะใครเลยจะทนรับการขายขาดทุนได้ ยิ่งถ้าต้องขาดทุนเป็นหมื่นเป็นแสนแล้ว การตัดสินใจขาย Cut Loss ยิ่งเป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้ ก็ต้องนั่งรอบนดอยแบบยาวๆ ไป เผื่อว่าสักวันรถขันเดิมที่พาผู้โดยสาร (เหยื่อ) รายใหม่ขึ้นมารับเราแล้วทิ้ง มนุษย์ดอยตัวแทนเอาไว้นั่นเอง
การกระโดดเข้าใส่หุ้นปั่น มักเกิดขึ้นกับนักลงทุนหน้าใหม่ๆ ในตลาด เนื่องจากอาจจะมีประสบการณ์น้อย และยังไม่ค่อยเข้าใจธรรมชาติของการลงทุนที่มีผู้คุมกฎเป็นผู้คุมเกมส์ ประชาชนชาวเม่าคือผู้ที่เข้าไปแสวงโชคตามรูปแบบตลาดที่เจ้าคือผู้วางทิศทาง หากไม่รู้จักระมัดระวังก็อาจพลาดท่าเจ็บเนื้อเจ็บตัว และเจ็บใจเมื่อเจอเกมส์ของเจ้าเล่นงาน
หุ้นปั่นไม่ใช่เรื่องใหม่ในตลาดทุน แต่ก็เป็นสิ่งที่นักลงทุนสายเก็งกำไรมักตกหลุมพรางกันเสมอๆ โดยปกติแล้วหุ้นส่วนใหญ่มักวิ่งอยู่บน “ปัจจัยพื้นฐาน” ของธุรกิจ รวมทั้งความต้องการซื้อ และความต้องการขาย เช่น ผลประกอบการ ผลกำไร ปันผล หรือเทรนด์ของตลาด ที่มีความสอดคล้องอย่างเป็นธรรมชาติ ณ เวลานั้นๆ ซึ้งถ้าทุกอย่างที่กล่าวมามีแนวโน้มที่ดี ส่งผลบวกต่อธุรกิจในภาพรวม หุ้นของบริษัทนั้นๆ ก็จะขึ้นตามธรรมชาติ มีการซื้อขายกันเป็นรอบๆ และมูล่าหุ้นจะไม่วิ่งสูงเกินไปจนดูไม่สมเหตุสมผล
แต่หุ้นปั่นนั้นมักเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาโดยที่มีความไม่ตรงกับธรรมชาติในตลาดหุ้นหลายประการ เช่น หุ้นตัวนี้จู่ๆ ก็มีแรงซื้อเข้ามาแบบงงๆ ซื้อเข้ามาจำนวนมากจนราคาหุ้นพุ่งขึ้นไปแบบผิดปกติ โดยเฉพาะเมื่อไปดูพื้นฐานธรุกิจ รวมทั้งงบการเงิน ผลประกอบการ ก็ไม่ได้เป็นปัจจัยที่เอื้อต่อการพุ่งขึ้นของราคาหุ้นนั้นๆ หรือแม้แต่ก็ไม่ได้มีการลงทุนอะไรใหม่ๆ เลย สมมุติบริษัทนั้นไม่ได้มีผลกำไรที่ดี งบการเงินก็ไม่ได้สวยงาม แต่หุ้นกลับวิ่งขึ้นไปเป็นร้อยเป็นพันเปอร์เซ็นต์ในเวลารวดเร็ว ให้ตั้งข้อสังเกตไว้เลยว่า น่าจะมีการปั่นกระแสบางอย่างขึ้นมาแน่นอน ซึ่งเป้าหมายของหุ้นปั่นมักมีจุดประสงค์ในการหลอกล่อเม่าให้เข้าไปซื้อ และแน่นอนว่ามันค่อนข้างได้ผล ก่อนที่จะให้เม่าได้ตายใจกับตัวเลขสีเขียวๆ บนพอร์ตสั้นๆ จากนั้นพอได้จังหวะ เจ้าก็จะพากันเทขายแบบรวดเดียว ทำให้ราคาหุ้นตกอย่างรุนแรงเสมือนว่าลิฟท์ที่เราโดยสารอยู่สลิงขาด ใครเข้าซื้อราคาสูงๆ และกระโดดออกไม่ทันก็ติดดอยกันเป็นแถบๆ ซื้อน้อยเจ็บตัวน้อย แต่ใครซื้อมากก็คงตัดใจขายขาดทุนยาก เพราะดอยนั้นสูงเหลือเกิน
จุดสังเกตว่าหุ้นไหนเป็นหุ้นปั่น มีข้อสังเกตคือ หุ้นตัวนั้นๆ มักมีความอ่อนไหวต่อข่าวเป็นพิเศษ โดยเฉพาะข่าวที่สร้างความน่าเชื่อถือในการลงทุน เช่น ประกาศว่าจะมีการลงทุนใหม่ๆ มีการจับมือกับพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจต่างประเทศ หรือบอกว่ามีผลประกอบการที่ดีขึ้น เติบโตขึ้น ทั้งๆ ที่ยังไม่มีการประกาศผลประกอบการรายไตรมาส ซึ่งแน่นอนว่าข่าวพวกนี้มักเป็นปัจจัยบวกที่ล่อให้นักลงทุนสนใจที่จะเข้าไปซื้อหุ้น โดยปรากฎการณ์เฮอะโลกันเข้าซื้อหุ้นมันมีจริงให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นจนเมื่อดูในตาราง Most Active Volume ก็เห็นเลยว่าหุ้นตัวดังกล่าวที่ก่อนหน้านี้อยู่ส่วนไหนของโลกก็ไม่รู้ จู่ๆ ก็พุ่งขึ้นมาอย่างน่าสงสัย
ธรรมชาติของคน มักกลัวพลาดผลประโยชน์ ยิ่งเห็นราคาหุ้นพุ่งขึ้นเอาๆ ก็ไม่อาจยั้งใจที่จะไม่กระโดดเข้าใส่ เพราะกลัวว่าถ้าช้าจะพลาดผลกำไรงามๆ ไป ซึ่งมันเป็นหลักจิตวิทยาที่สามารถเล่นกับความรู้สึกของนักลงทุนได้ จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมเม่าส่วนใหญ่จะกระโดดเกาะหุ้นขาขึ้นพุ่งแรงกันเป็นแถบๆ
อีกจุดสังเกตคือ ถ้าใครพอมีความรู้เรื่องของการดูกราฟ ดูแท่งเทียนเป็น สามารถเข้าไปดูปริมาณการซื้อขายย้อนหลังของหุ้นตัวนั้นๆ ได้ เพราะมันเป็นตัวสะท้อนได้ดีตัวหนึ่งว่า หุ้นที่เราสงสัยอยู่เป็นหุ้นที่เข้าข่ายการเป็นหุ้นปั่นหรือไม่ เช่น ถ้าดูย้อนหลังไป 6 เดือน ที่มีปริมาณการซื้อขายโดเฉลี่ยคงที่ ประมาณ 100,000 – 150,000 หุ้น บวกลบไม่เกินนี้ แต่จู่ๆในช่วงสัปดาห์เดียวกลับมีการซื้อขายพุ่งขึ้นไปรวดเดียวเป็นล้านๆ หุ้น แบบไม่มีปี่มีขลุย ให้ตั้งข้อสังเกตได้เลยว่า นี่คือหุ้นที่โดนปั่นราคาแน่นอน ดังนั้นต้องระวังหากจะเข้าซื้อ
อย่างไรก็ตาม บทความนี้ไม่ได้ออกมาห้ามนักลงทุนเล่นหุ้นปั่น ซึ่งจริงๆ แล้วมันก็เล่นได้ โดยเฉพาะใครที่อยากจะลองเสี่ยงเข้าไปเก็งกำไรระยะสั้นๆ พอได้ผลกำไรสมใจก็รีบขายทิ้ง ซึ่งเป็นสิ่งปกติที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้น แต่การที่จะเข้าไปซื้อหุ้นปั่น ก็ต้องมีความเชี่ยวชาญมากพอที่รู้จังหวะเข้าและจังหวะออก เพราะขึ้นชื่อว่าหุ้นปั่น มันไม่ใช่สินทรัพย์ที่เหมาะแก่การลงทุนถือยาว และมันไม่ใช่การลงทุน แต่มันคือการเก็งกำไร ซื้อมาขายไปแบบเร็วๆ เพื่อให้ได้เงินไว
ดังนั้นก็ต้องมีความระมัดระวังสูง เพราะถ้าหากว่าเข้าช้า และลุกช้า จะเจอจ่ายรอบวง นั่งงงๆ บนยอดอย แบบไม่ที่กล้ากระโดดลงมา จะเสียหายหนักนั่นเอง
สรุปคือ เล่นหุ้นปั่นเล่นได้ แต่ต้องเล่นอย่างระมัดระวัง ที่สำคัญถ้าเล่นแล้วได้กำไร อย่าลืมนำไปลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานดีๆ มีมูลค่าที่สะท้อนปัจจัยพื้นฐาน เพื่อการลงทุนในระยะยาว และต้องศึกษาข้อมูลต่างๆ รวมทั้งฝึกฝนทางเทคนิคอย่างต่อเนื่องก่อนลงสนาม เพื่อให้เราอยู่รอดอย่างชาญฉาดได้ในตลาดไม่หมดเนื้อหมดตัวไปเสียก่อนนั่นเอง