คุณยอมรับการขาดทุนได้แค่ไหนครับ
-20% ไหวมั้ย
-50% หนักไปมั้ย
แล้วถ้า -80% ล่ะ เป็นอย่างไร
วอร์เรน บัฟเฟตต์ กล่าวไว้ว่า “ถ้าคุณไม่สามารถทนเห็นหุ้นที่คุณถือตกลงไป 50% ได้ คุณก็ไม่ควรอยู่ในตลาดหุ้น”
ปู่คงไม่ได้หมายความตรงๆ ว่า หุ้นลงได้ 50% ไม่ต้องตกใจ ไม่ต้องทำอะไร
แต่ปู่น่าจะหมายความว่า ถ้าหุ้นที่คุณถือ วิเคราะห์ดูแล้ว มั่นใจว่าพื้นฐานไม่ได้เปลี่ยน ราคาตกลงจากเหตุการณ์ชั่วคราว หรือไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรง ท้ายที่สุด ราคาหุ้นก็จะกลับมาอยู่ที่มูลค่าที่ควรจะเป็นนั่นเอง
บทเรียนข้อแรก คือ เข้าใจพื้นฐานกิจการให้ดีก่อนลงทุน
………………………………….
ทราบมั้ยครับว่า ถ้าเรามีเงินต้น 100 บาท ขาดทุน 10% เหลือ 90 บาท ถ้าจะทำให้กลับมาเท่าเดิมที่ 100 บาท ต้องทำกำไรให้ได้ 11.1% ถึงแม้ว่ามูลค่าจะเป็น 10 บาท เท่ากัน เพราะฐานเริ่มต้นนั้นต่างกัน
ถ้าเราขาดทุน 20% ต้องทำกำไร 25% ถึงเท่าทุน
ถ้าเราขาดทุน 50% ต้องทำกำไร 100% หรือหาหุ้นเด้งให้เจอ ถึงกลับมาเท่าทุน
และถ้าเราขาดทุน 80% เงินเราจะเหลือแค่ 20 บาท ถ้าไม่ท้อไปซะก่อน เราต้องหาผลตอบแทน คูณ 5 หรือ 400% ถึงจะกลับมาที่เดิมที่ 100 บาท
ผมเชื่อว่า ทำกำไร 10-30% คุณทำได้นะ แต่ถ้าจะให้เราหาหุ้น 1 เด้ง 2 เด้ง หรือ 5 เด้ง ไม่ง่ายเลยนะ
แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว จริงมั้ยครับ
บทเรียนข้อที่สอง คือ ทำกำไรได้แค่ไหน ถึงค่อยมาดูว่าควรขาดทุนที่เท่าไหร่
เช่น ถ้าเราบอกว่าความสามารถในการทำกำไรของเราโดยเฉลี่ยคือ 25% นั่นแปลว่า เราสามารถขาดทุนได้ 20% เพราะนั่นคือจุดที่เราจะทำกำไรกลับมาเท่าทุนได้เสมอ และยังแปลได้อีกว่า ถ้าเราขาดทุนมากกว่านี้ ตามสถิติของเรา กลับมาไม่ไหวแล้วนะ
และในความเป็นจริงเราก็ต้อง cut loss ที่น้อยกว่า 20% เพราะไม่อย่างนั้น เท่ากับว่า พอร์ตเราก็จะไม่ไปไหน ขาดทุน 20% แล้วทำกำไรคือ 25% สุดท้าย อยู่ที่เดิม
………………………………….
เรื่องสุดท้าย เกี่ยวกับ Asset Allocation หรือ Portfolio Management
ถ้าคุณมีเงิน 10 ล้านบาท ขาดทุน 80% คือ ขาดทุน 8 ล้านบาท คุณรับได้มั้ย
แต่ถ้าคุณแบ่งลงทุนหุ้น 5 ตัว เท่ากันที่ 2 ล้านบาท การขาดทุน 80% ของหุ้น 1 ตัว คือ เงินหายไป 1.6 ล้านบาท ถ้าคิดเทียบเงินต้นที่ 10 ล้านบาท คือ ขาดทุน 16%
ถ้าแบบนี้เราอาจจะบอกว่า รับไหว เพราะว่า ความสามารถในการทำกำไรของเราคือ 25% เราทำกลับคืนมาได้
แต่ในอีกมุมหนึ่งบนถนน อาจมีบางคนโลภมาก อัดตัวเดียวหมด ขาดทุนเละเทะ เหลือเงินแค่ 2 ล้านบาท ยากจะทำใจไหว
บทเรียนข้อที่สาม คือ การกระจายความเสี่ยงที่เหมาะสม เพื่อภาพรวมของพอร์ตที่เติบโต
………………………………….
โดยสรุปแล้ว ก่อนที่คุณจะลงทุน คุณต้องเข้าใจพื้นฐานของกิจการ หรือสินทรัพย์ที่เข้าไปลงทุนอย่างถ่องแท้ให้ได้ก่อน ต่อมาเราต้องรู้ว่าเราเก่งแค่ไหน ทำกำไรได้มากแค่ไหน แต่ก็ไม่ควรเสี่ยงจนหมดตัว และสุดท้ายก็ต้องกระจายความเสี่ยงให้เหมาะสม ไม่ให้พอร์ตแตกไปซะก่อน
ผมเห็นด้วยว่า ความอดทนที่มากพอ จะทำให้เราเป็นผู้ชนะ
แต่ก่อนที่เราจะไปถึงจุดนั้น เราต้องเข้าใจตัวเองให้ได้ก่อนว่า
ความรู้แบบไหน ที่จะทำให้เราเป็นผู้ชนะ
ถ้าเราต้องยอมถอย เราควรยอมที่ตรงไหน
เพื่อสุดท้าย เราจะได้กลับมาเป็น “ผู้ชนะที่แท้จริง”