#ข่าวหุ้นธุรกิจการลงทุน

Agritech ธีมแห่งอนาคตของไทยที่กำลังจะมา

โดย stock2morrow
เผยแพร่:
121 views

สรุปสาระสำคัญ

  • AgriTech คือ การนำเทคโนโลยีมาทำเกษตรกรรมแบบใหม่ เพื่อให้เพิ่มผลผลิตในพื้นที่ที่จำกัด
  • ศูนย์วิจัยกสิกรฯ มอง AgriTech ในไทยจะมีบทบาทมากขึ้นในอีก 3-5 ปี
  • มูลค่าตลาด AgriTech ทั่วโลก อยู่ที่ 4.11 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มีอัตราการโตเฉลี่ย 12.1%
  • AgriTech มีหลักการทำงานแบบเกษตรแม่นยำ (Precision Farming) ผ่านหัวใจสำคัญคือ IoT และ Big Data มาช่วยทำการเกษตรอย่างแพร่หลาย

==========================

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เผยแม้ปัจจุบันการใช้เทคโนโลยีการเกษตรสมัยใหม่ หรือ AgriTech ในไทยจะยังอยู่ในระยะเริ่มต้น แต่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า AgriTech ในไทยจะมีบทบาทมากขึ้นในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า จากราคาเทคโนโลยีที่ถูกลงและความรู้ด้านเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้ AgriTech ในทุกระดับตั้งแต่กลุ่มเกษตรกรรุ่นใหม่ สตาร์ทอัพ และบริษัทขนาดใหญ่ มีการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาพัฒนาการเกษตรทั้งในพื้นที่ขนาดใหญ่และพื้นที่ที่จำกัด

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า AgriTech ที่ไทยควรมุ่งไป อาจจะเป็น AgriTech สำหรับการลงทุนในพื้นที่ที่จำกัด เนื่องจากสร้างมูลค่าเพิ่มได้สูงและสามารถเอาชนะข้อจำกัดของสภาพภูมิอากาศได้อย่างเต็มรูปแบบ แต่เงื่อนไขความสำเร็จ จะขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์ภาพตลาดหรือกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ระบบโลจิสติกส์ตลอดสายการผลิต ความพร้อมด้านเงินทุนและเทคโนโลยี ทำเลที่ตั้ง ซึ่งจะมีผลต่อความสามารถในการแข่งขันและการทำกำไรในระยะยาว

 

มูลค่าตลาด AgriTech ทั่วโลก มีการประเมินว่า จะมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีด้วยตัวเลขสองหลักถึงร้อยละ 12.1 ต่อปีในช่วงปี 2563-2570 โดยมีมูลค่า 17,443 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2562 และจะเพิ่มขึ้นเป็น 41,173 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2570 จากการที่หลายประเทศทั่วโลกได้มีการนำ AgriTech ซึ่งมีหลักการทำงานแบบเกษตรแม่นยำ (Precision Farming) ผ่านหัวใจสำคัญคือ IoT และ Big Data มาช่วยทำการเกษตรอย่างแพร่หลาย

 

โดยมีแรงผลักดันมาจากข้อจำกัดด้านการเกษตรอย่างการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น พฤติกรรมผู้บริโภคที่ต้องการสินค้ามีคุณภาพมากขึ้น เช่น สินค้าออร์แกนิค ตลอดจนแนวโน้มการขาดแคลนแรงงานภาคเกษตร ซึ่ง AgriTech จะเข้ามาช่วยปลดล็อกข้อจำกัดดังกล่าว

 

จึงเป็นคำตอบของเกษตรกรในอนาคตเพื่อใช้ยกระดับประสิทธิภาพด้านการเกษตรตลอดสายการผลิตให้ดีขึ้นทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ โดยจะเป็นภาพของการทำเกษตรที่คล้ายกับการดำเนินงานในอุตสาหกรรมในแง่ที่มีการตรวจวัดตัวแปรต่างๆ เพื่อให้สภาพแวดล้อมอยู่ในภาวะที่ควบคุมได้แบบ Real Time ทำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าการทำเกษตรแบบดั้งเดิม

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การใช้ AgriTech ในไทยจะมีบทบาทมากขึ้นในระยะ 3-5 ปีข้างหน้า สอดคล้องไปกับเทรนด์โลกที่มีแนวโน้มเติบโตดี เนื่องจากราคาเทคโนโลยีที่ถูกลงและผู้ประกอบการมีความรู้ด้านเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้สามารถเข้าถึง AgriTech ได้มากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มเกษตรกรรุ่นใหม่ สตาร์ทอัพ และบริษัทขนาดใหญ่

 

สะท้อนได้จากเกษตรกรรุ่นใหม่ที่ผ่านคุณสมบัติ YSM (Young Smart Farmer) ที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นจาก 1,731 รายในปี 2557 เป็น 2,537 รายในปี 2562 รวมถึงในฝั่งของผู้ให้บริการ (Solution Provider) อย่างสตาร์ทอัพที่มีจำนวนผู้ประกอบการเพิ่มขึ้นจาก 50 รายในปี 2562 เป็น 66 รายในปี 2564 โดยเฉพาะในด้านการบริหารจัดการฟาร์มที่มีจำนวนมากที่สุด (ร้อยละ 36) ซึ่งจะเป็น AgriTech ที่เกิดขึ้นในพื้นที่เกษตรขนาดใหญ่และพื้นที่ที่จำกัด โดยมีรายละเอียด ดังนี้

 

พื้นที่ขนาดใหญ่ มี AgriTech หลายรูปแบบ เช่น โดรนเพื่อการเกษตร, เครื่องกำจัดวัชพืชควบคุมด้วยระบบ GPS, รถแทรกเตอร์อัตโนมัติติด GPS, เครื่องเก็บเกี่ยวอัตโนมัติ, เซนเซอร์ เป็นต้น แต่จะขอยกตัวอย่างโดรนเพื่อการเกษตร เนื่องจากเริ่มเห็นการนำโดรนเข้ามาใช้ในภาคเกษตรอย่างชัดเจนและเกษตรกรรู้จัก/ให้การยอมรับในเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เหมาะในการนำไปใช้ในพืชกลุ่ม Commodity เช่น ข้าว อ้อย มันปะหลัง และข้าวโพด ซึ่งเป็นพืชเกษตรหลักของไทย

 

โดยมองว่า ภาพของ AgriTech ที่ใช้ในพื้นที่การเกษตรขนาดใหญ่น่าจะเติบโตได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป จากราคาขายพืชที่ไม่จูงใจนักและต้องคำนึงถึงการประหยัดต่อขนาด (Economy of Scale) ร่วมด้วย ทั้งนี้ ประเมินเบื้องต้นว่า เงินลงทุนเริ่มต้นของโดรนเพื่อการเกษตรจะอยู่ที่ราว 0.17-0.25 ล้านบาท เพื่อทดแทนค่าจ้างแรงงานคนที่ใช้ในการฉีดพ่นคิดเป็นมูลค่าราว 14,400 บาทต่อเดือน ทำให้เป็นไปได้ว่า ผู้ลงทุนอาจมีระยะเวลาคืนทุนประมาณ 12-18 เดือน

 

พื้นที่ที่จำกัด มี AgriTech หลายรูปแบบ เช่น โรงงานผลิตพืช (Plant Factory), Green House, Low-Tech Plastic Hoop House, Container Farm, Indoor Deep-Water Culture เป็นต้น แต่จะขอยกตัวอย่างโรงงานผลิตพืช เนื่องจากสามารถผลิตพืชในระบบปิด ทึบแสง ด้วยการใช้ไฟ LED เป็นแหล่งกำเนิดของแสง และสามารถปลูกในแนวตั้งได้หลายชั้น ตอบโจทย์พื้นที่ที่จำกัดได้เป็นอย่างดีโดยเฉพาะในเมือง เหมาะในการนำไปใช้ในพืชกลุ่มมูลค่าสูง (High Value) เช่น ผักไฮโดรโปนิกส์ หรือพืชสมุนไพร เพื่อตอบโจทย์ตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) ที่มีกำลังซื้อสูง

 

โดยมีปัจจัยสนับสนุนที่ทำให้โรงงานผลิตพืชได้รับความนิยม คือ ราคาขายพืชที่สูงกว่าในแปลงปลูกทั่วไปราว 2-3 เท่า พฤติกรรมผู้บริโภคที่ต้องการสินค้าเกษตรที่เป็นออร์แกนิคมากขึ้น รวมถึงเทรนด์ Farm to Table โดยมองว่า ภาพของ AgriTech ที่ใช้ในพื้นที่ที่จำกัดน่าจะเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด เนื่องจากมีมูลค่าเพิ่มสูง ทั้งนี้ ประเมินเบื้องต้นว่า เงินลงทุนเริ่มต้นของโรงงานผลิตพืชจะค่อนข้างสูงอยู่ที่ราว 2-3 ล้านบาท โดยมีรายได้ราว 0.52-0.69 ล้านบาทต่อปี ทำให้เป็นไปได้ว่า ผู้ลงทุนอาจมีระยะเวลาคืนทุนประมาณ 5-6 ปี

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การใช้ AgriTech ที่ไทยควรมุ่งไป น่าจะเป็น AgriTech สำหรับพื้นที่ที่จำกัด เนื่องจากสร้างมูลค่าเพิ่มได้สูงและสามารถเอาชนะข้อจำกัดของสภาพภูมิอากาศได้อย่างเต็มรูปแบบ แต่เงื่อนไขความสำเร็จยังขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์ภาพตลาดหรือกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ระบบโลจิสติกส์ตลอดสายการผลิต ความพร้อมด้านเงินทุนและเทคโนโลยี ทำเลที่ตั้ง ซึ่งจะมีผลต่อความสามารถในการแข่งขันและการทำกำไรในระยะยาว นอกจากนี้ คงต้องอาศัยการให้การสนับสนุนจากภาครัฐร่วมด้วย เช่น การส่งเสริมการลงทุน สิทธิประโยชน์ทางด้านภาษี เป็นต้น

 

สรุป การใช้ AgriTech ในภาคเกษตรไทยจะมีบทบาทมากขึ้นในระยะ 3-5 ปีข้างหน้า จากราคาเทคโนโลยีที่ถูกลงและความรู้ด้านเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้น ซึ่งไทยควรมุ่งไปสู่การใช้ AgriTech ในพื้นที่ที่จำกัด เพื่อเอาชนะข้อจำกัดของสภาพภูมิอากาศและยังสร้างมูลค่าเพิ่มสูง อันจะเป็นการยกระดับเกษตรกรไทยไปสู่นักธุรกิจเกษตรที่สามารถควบคุมการผลิตได้อย่างแม่นยำ ขายสินค้าได้คุณภาพและราคาดี โดยไม่ต้องเผชิญความผันผวนของราคาสินค้าเกษตรที่อิงไปกับตลาดโลกและยังเป็นการลดการพึ่งพามาตรการช่วยเหลือเฉพาะหน้าจากภาครัฐ

 

อีกทั้งยังสอดคล้องกับแนวทางความยั่งยืนด้านวัตถุดิบและความสมดุลของสิ่งแวดล้อมตามกรอบโมเดลเศรษฐกิจใหม่ (BCG Model) ที่ต้องการยกระดับไปสู่นวัตกรรมการเกษตรที่เน้นการผลิตพืชมูลค่าสูงเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมเป้าหมายอย่างอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร (อาหารฟังก์ชัน/Super Food) และอุตสาหกรรมสุขภาพและการแพทย์ (พืชสมุนไพร)


ศูนย์รวมความรู้เรื่องหุ้น ศูนย์รวมนักลงทุนรายย่อย ที่อยากรู้วิธีการลงทุนในหุ้นอย่างถูกต้องและได้กำไรอย่างยั่งยืน ติดตามเราได้ที่

www.stock2morrow.com 

FB: stock2morrow 

LINE@stock2morrow

FacebookInstagramYoutubeLine

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง