เป็นอีกหนึ่งตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญของไทยที่รอการรายงานผลออกมาสำหรับ “หนี้ครัวเรือน” ของประเทศไทยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2563 ซึ่งเป็นภาพสะท้อนของสภาวะหนี้ครัวเรือนของประชาการตลอดทั้งปีที่ผ่านมา โดยล่าสุดวันนี้ (24 พฤษภาคม 2564) สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ เปิดเผยว่า หนี้ครัวเรือนไทยในไตรมาส 4 ของปี 2563 มีมูลค่าพุ่งทะยานทะลุ 14.02 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.9% จาก 4% ในไตรมาสก่อนหน้า คิดเป็นสัดส่วน 89.3% ต่อ GDP แม้ว่าจะขยายตัวมในอัตราที่ช้าลง แต่ก็ยังคงต้องเฝ้าระวังเนื่องจากยังมีปัจจัยที่ทำให้หนี้ครัวเรือนยังเพิ่มต่อเนื่อง
สาเหตุสำคัญมาจากสภาวะเศรษฐกิจหดตัวลงจากปัญหาโรคระบาดที่ไม่สามารถดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ อัตราการว่างงานที่สูง ชั่วโมงการทำงานรวมทั้งรายได้ลดลง รวมทั้งการก่อนหนี้ที่ไม่ได้เกิดรายได้จากสินเชื่อและบัตรเครดิตของประชาชน
แม้ว่าสัดส่วนการขยายตัวของหนี้ครัวเรือนจะลดลง 1% จากไตรมาสที่ 3/2563 จากความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนที่ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังต้องเฝ้าระวัง เนื่องจากสัดส่วนสินเชื่อค้างชำระไม่เกิน 3 เดือน (สินเชื่อกล่าวถึงพิเศษ) ยังอยู่ในระดับสูง โดยในไตรมาส 4 ปี 2563 สัดส่วน NPLs ของสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ 2.84% ลดลงจาก 2.91% ในไตรมาสก่อน เป็นผลจากการดำเนินมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ในช่วงที่ผ่านมาของสถาบันการเงิน
ความสามารถการชำระหนี้ค่างวดของสินเชื่อต่างๆ ของประชาชนในบางกลุ่มลดลงสะท้อนผ่าน อัตราการชำระสินเชื่อกล่าวถึงพิเศษยังอยู่ในระดับสูง หรือมีสัดส่วนต่อสินเชื่อรวม 6.8% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน และมีโอกาสที่จะกลายเป็นหนี้เสียมากขึ้น
บัตรเครดิต และการขอสินเชื่อต่างๆ ยังคงเพิ่มสูงขึ้นแม้จะอยู่ในสภาวะการขาดสภาพคล่องทางการเงิน มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับประชาชนของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ เช่น ธนาคารออมสิน ทำให้ผู้ที่ต้องการหมุนเงินในชีวิตประจำวันขอสินเชื่อเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที ต้องมีมาตรการปรับโครงสร้างหนี้อย่างเหมาะสม ควบคุมดูแลการให้สินเชื่อให้สอดคล้องกับระดับรายได้ รวมทั้งเฝ้าระวังการก่อหนี้นอกระบบโดยเฉพาะกับครัวเรือนผู้มีรายได้น้อย ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการจ้างงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ครัวเรือนมีรายได้ และสามารถรักษาระดับการบริโภคไว้ในระดับเดิม
ก่อนหน้านี้ศูนย์วิจัยกสิกรไทย หรือ KResearch ได้ทำการสำรวจภาวะหนี้สินและการออมของประชาชนในเขตกรุงเทพและปริมณฑล ช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมาพบว่า ภาระหนี้ที่ต้องจ่ายแต่ละเดือน (Debt Service Ratio) มีสัดส่วน 42.8% ของรายได้ เมื่อลงลึกในรายละเอียดของภาระหนี้สิน เกิดจากอะไรบ้าง พบว่า
• บัตรเครดิต 29.6%
• สินเชื่อซื้อรถยนต์ 29.1%
• สินเชื่อส่วนบุคคล 13.6%
• สินเชื่อบ้าน 10.5%
• สินเชื่อเพื่อทำธุรกิจ 10.2%
• สินเชื่อนอกระบบ 2.5%
ดังนั้นท่ามกลางสภานการณ์ทางเศรษฐกิจแบบนี้อาจจะต้องพิจารณาการใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น และหากรู้สึกว่าภาระหนี้สินจากสินเชื่อส่วนบุคคลมีความหนักหน่วงในการบริหารจัดจาก ต้องติดต่อสถาบันทางการเงินที่ทำการขอสินเชื่อเพื่อเจราจาการปรับโครงสร้างหนี้ อย่าหนีหนี้ หรือจ่ายไม่ตรงเพราะไม่เช่นนั้นอาจส่งผลต่อเครดิตทางการเงินของตัวเราในอนาคต