ช่วงนี้อาจจะให้นำหนักเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับ เงินดิจิทัล หรือ คริปโตเคอร์เรนซี ค่อนข้างบ่อยเนื่องจากเป็นหนึ่งในสินทรัพย์การลงทุนที่อยู่ในกระแส และมีผู้สนใจเข้ามาลงทุนทั้งรายเล็กรายใหญ่อยู่ไม่น้อย แม้ว่าหลายประเทศจะยังไม่รับรองคริปโตฯ เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลถูกต้องตามกฎหมาย และมีความสุ่มเสี่ยงที่จะสูญเงินฟรีๆ เพราะความไม่เสถียรของสินทรัพย์ที่เหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลงได้ตามปัจจัยกระทบจากคำพูดของคนไม่กี่คน
ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าการเข้าไปลงทุนเพื่อเก็งกำไรใสคริปโตฯ นั้น สามารถเข้าถึงได้ง่ายมาก ยิ่งกระแสโซเชียลมีเดีย ที่ใครๆ ต่างก็เข้าไปลงทุน ไปเก็งกำไร มันทำให้คนเริ่มอยากเข้าไปลองสัมผัสตลาดการเงินดิจิทัลนี้ ที่แม้ว่าจะมีความเสี่ยงสูงที่อาจจะขาดทุน เพราะขาดความรู้ความเข้าใจ แต่ก็มีผู้คนจำนวนไม่น้อยอยากลองที่จะเสี่ยง
การปั่นมูลค่าคริปโตฯ ให้พุ่งขึ้นหรือลดลงนั้น เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่มักเจอกันบ่อยๆ ยิ่งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาคริปโตฯ โดน อีลอน มัสก์ เจ้าพ่อแห่ง Tesla และ SpaceX ซึ่งเป็นนักลงทุนรายใหญ่ในคริปโตฯ โดยเฉพาะบิตคอยน์ที่ มักเล่นเกมส์จิตวิทยา ด้วยการทวีตข้อความต่างๆ นานา ที่เกี่ยวกับคริปโตฯ จนส่งผลให้ตลาดเกินความผันผวน ขึ้นแรงลงแรงอยู่หลายครั้ง เช่นในช่วงสัปดาห์ที่แล้วที่ทวีตว่า จะเลิกใช้เหรียญคริปโตฯ ซื้อรถยนต์ Tesla รวมทั้งการจะไปลงทุนในเหรียญดิจิทัลอื่นๆ แทนบิตคอยน์ ทำให้ราคาของเหรียญ BTC ตกลงอย่างรุนแรงในช่วงเวลาสั้นๆ จากจุดสูงสุดของราคาที่ 1 BTC = 5 หมื่นกว่าดอลลาร์ มาสู่จุดต่ำกว่าราคาที่ Tesla เข้าไปถือครองที่ 1 BTC = 30,261 ดอลลาร์
เมื่อเห็นราคาร่วงหนักก็ออกมาโปรยยาหอมอีกครั้งว่า Tesla จะไม่ทิ้งบิตคอยน์แน่นอน นั่นก็ทำให้ราคาเหรียญดีดกลับมาอีกครั้ง
เชื่อว่าไม่มีราคาของสินทรัพย์ใดในตลาดการลงทุนที่มีความสวิงไปมากกว่าเหรียญคริปโตฯ แน่นอน โดยเฉพาะบิตคอยน์ ที่สวิงบวกลบเป็นว่าเล่น ช่วงที่ขึ้นก็ขึ้นสุด ทำ All time high แทบจะรายวัน แต่พอร่วงก็ร่วงแบบน่าใจหาย ประหนึ่งว่าจะพากันขาดทุนกันย่อยยับทั้งตลาด แถมการที่สามารถเทรดได้ตลอด 24 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์ 365 วันต่อปี ถ้าช่วงดวงไม่ค่อยดี หรือเผลอหลับไปราคาดันตกลงการอาจจะตื่นมาพร้อมกับรับข่าวร้ายได้ทุกเมื่อ หรือราคาดีดขึ้นไปทำให้คนถือกลายเป็นเศรษฐีน้อยๆ ได้เช่นกัน
ถ้าอยากรู้ว่า บิตคอยน์นั้นเหมือนรถไฟเหาะอย่างไร จะให้ดูสถิติการขึ้นลงของราคาดังนี้
- ปี 2556 บิตคอยน์ เริ่มต้นเทรดอยู่ที่ 1 BTC = 13 ดอลลาร์สหรัฐ (409 บาท)
- ใช้เวลาเพียงระยะสั้นๆ ไม่ถึงปี ราคาพุ่งพรวดอยู่ที่มากกว่า 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ (31,455 บาท) ในเดือนธันวาคม
- ปลายปี 2560 ก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเกือบ 20,000 ดอลลาร์สหรัฐ (629,100 บาท)
- ปี 2561 จู่ๆ ก็ราคาทรุดลงฮวบฮาบ อยู่ที่เกือบ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐ (94,353 บาท)
- ปี 2564 เดือนเมษายน มูลคค่าดีดขึ้นไปอีกครั้ง 64,000 ดอลลาร์สหรัฐ (2 ล้านบาท)
- ปี 2564 เดือนพฤษภาคม ราคาร่วงลงไปต่ำสุดหลุด 30,000 ดอลลาร์สหรัฐ (941,100 บาท)
ก่อนที่วันนี้จะดีดกลับขึ้นมาเหนือราคา 42,000 ดอลลาร์สหรัฐ (1.2 ล้านบาท) อีกครั้ง เช่นเดียวกับเหรียญดิจิทัลที่มีส่วนแบ่งการถือครองตลาดมากๆ ทั้ง เอธิเรียม ริปเปิ้ล ไบแนนซ์คอนน์ และด็อกคอยน์ ก็มีการเหวี่ยงขึ้นลงของราคาค่อนข้างแรงเช่นกัน
ด้วยการที่คริปโตฯ เป็น ตลาดเปิด (Open Market) ย่อมถูกใครก็ได้ปั่นราคาง่ายอยู่แล้ว และกว่าที่ตลาดคริปโตฯ จะมีความแข็งแกร่งที่ไม่ผันผวนไปตามการพูดจาของใครคนใดคนหนึ่งอาจจะยังต้องใช้เวลาอีกสักพัก เพื่อให้พื้นฐานมีความแข็งแกร่งและอ่อนไหวน้อยลง จนถึงจุดที่การสร้างกระแสเพื่อปั่นราคาเหรียญของบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นเรื่องที่มีความน่าเชื่อถือต่ำให้ได้
การออกเหรียญคริปโตฯ ที่เรียกได้ว่าใครที่พอมีความรู้ มีวิธีก็สามารถออกเหรียญเป็นของตัวเองได้ ก็เป็นเหมือนทั้งโอกาสและจุดอ่อน เพราะเราจะแทบไม่รู้เลยว่าเหรียญไหนมีความน่าเชื่อถือเพียงพอที่จะลงทุน หรือเหรียญไหนถูกสร้างขึ้นมาเพื่อการเป็น มันนี่เกมส์ เพราะเหรียญดิจิทัลพวกนี้มีมากถึง 9,000 สกุล ซึ่งเยอะมาก และจะมีเหรียญใหม่ๆ เข้าสู่ตลาดอีกเป็นจำนวนมากในอนาคต
ดังนั้นผู้ที่เข้าสู่วงการเทรดคริปโตฯ อาจจะต้องศึกษาให้ดี โดเฉพาะมือใหม่ที่หวังเข้ามาเก็งกำไร หรือมองเป็นเหมือนการเสี่ยงโชค อาจจะตกหลุมพรางนี้ได้ ซึ่งก็เกิดขึ้นมานับครั้งไม่ถ้วน ไม่ต่างอะไรกับเม่าเข้าไปไล่ราคาในหุ้นปั่น จนถึงระดับที่เจ้าพอใจ ก็ทุบเทขายพากันไปติดอยู่บนดอยเคราะห์กันเป็นแถบ
อย่างไรก็ตามการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลมันคือเทรนของโลกยุคนี้และยุคหน้าอย่างแน่นอน ไม่มีใครปฏิเสธได้ แต่สิ่งที่ต้องคำนึงและระมัดระวังคือ การลงทุนโดยที่ไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้ตลาด ไม่รู้ธรรมชาติของเหรียญ ไม่รู้วิธีการวิเคราะห์เพื่อหาจุดลงทุนและจุดขายทำกำไร ซึ่งเป็นสิ่งที่อันตรายอย่างยิ่ง เพราะโอกาสเจ๊งมากกว่าได้จะสูงมาก และทำให้เกิดทัศนคติลบการลงทุนได้ ซึ่งจริงๆ มันก็มีทั้งโอกาสและความเสี่ยง
ดังนั้นไม่ว่าจะลงทุนอะไรก็ตามสิ่งที่สำคัญคือต้องศึกษาให้เข้าใจทุกครั้งก่อนการลงทุน แม้คำพูดนี้จะดูโบราณเพราะพูดกันมานานเป็นหลายสิบปี แต่ขอให้เชื่อเถอะว่า มันเป็นคำพูดคลาสสิคที่ใช้ได้ตลอดกาล
ขอให้ลงทุนอย่างมีสติ พร้อมกับความรู้ และเอาตัวรอดให้ได้ในตลาดคริปโตฯ